welcome to crescent moon space

welcome to crescent moon space
small but beautiful small alternative space for theatre lovers

Monday, 11 February 2008

Talk behind the Scene with “I Love You, Guy”

สัมภาษณ์ผู้กำกับและนักแสดง “ที่รักของ..กัน”
สัมภาษณ์และเรียบเรียงโดย สินีนาฏ เกษประไพ
ถ่ายภาพโดย ทวิทธิ์ เกษประไพ

Crescent Moon Space กับละครเดือนแห่งความรักมาแล้วค่ะ เรามาพูดคุยกับพวกเขากันเลย

นาด : ได้ยินมาว่า มีคนถามว่า สายฟ้า ตันธนา คือใคร ช่วยแนะนำตัวเองหน่อย เพราะว่าบางคนอาจไม่คุ้นชื่อ ต้องเห็นหน้าถึงจะจำได้
สายฟ้า : (หัวเราะ) ครับ ผมจบจากคณะสถาปัตย์ มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้เล่นละครของคณะ แล้วก็ชอบ เลยไปเรียนการแสดงต่อที่ คณะมรดกใหม่ กับครูช่างที่ ตึกช้าง พอได้เรียน ก็เลยได้เล่นละครเรื่องแรกของที่นั่น ก็คือ Oedipus ตอนปี 2542 แล้วก็ทำละครกับมรดกใหม่จนถึงปี 2544 แล้วก็มาร่วมทำกลุ่ม Dream Masks กับนินาท บุญโพธิ์ทอง และ เชิดศักดิ์ ปทุมศรีสาคร เรื่องแรกของ Dream Masks คือเรื่อง Hamburger Mob ผมได้กำกับเรื่องแรกเรื่องคือ สูตรรักสามเหลี่ยม เรื่องต่อมาเรื่อง สหายเก่า ช่วงปี 2545-6 แล้วผมก็แยกมาจากกลุ่ม มารวมกลุ่มกับเพื่อนอีกสองคน ชื่อ เบิ้ม กับ เชอรี่ ว่าจะทำกลุ่มกัน เริ่มคิดเรื่อง จะทำละคร แต่พอจะลงมือทำจริงๆเพื่อนก็ได้งาน ก็เลยเหลือผมคนเดียว ผมก็เลยทำเรื่องนั้นต่อ แล้วเอามาลงเทศกาลละครปี 2547 ในชื่อกลุ่ม On Box


นาด : ขอถามหน่อยว่า ทำไม ใช้ชื่อกลุ่มว่า On Box
สายฟ้า : เวลาเราไปดูเด็กๆเล่นกันตามสนามเด็กเล่น เคยเห็นมีเด็กมาร้องเพลง เราเห็นคนอื่นๆนั่งลงฟัง แล้วเด็กคนที่ร้องเพลงก็ขึ้นไปยืนบนกล่องน่ะฮะ มันก็เหมือนอะไรง่ายๆ กล่องใบนั้นก็คือ เวที ที่เด็กคนนั้นได้เล่น ก็นี่แหละครับ ที่มาของ On Box

นาด : งานที่ผ่านมามีอะไรบ้าง
สายฟ้า : งานที่ผ่านมาก็มีเรื่อง แฟนชาย (2547) แฟนอิฉัน (2548) หญิงเปรย (2549) และ ที่รักของกัน (2550)

นาด : ตั้งแต่เรื่องแรกๆมาจนถึงตอนนี้ ใครเป็นคนทำบท
สายฟ้า : ก็ช่วยๆกันคิด อย่างเรื่องแรก แฟนชาย ก็ช่วยกันคิดกับเบิ้ม กับ เชอรี่ แล้ว ก็เอามาบวกกับการ Improvise ของนักแสดง

นาด : แล้วอย่างบทเรื่องนี้ “ที่รักของกัน” เขียนบทก่อน หรือว่าทำบทพร้อมๆกับการซ้อมกับนักแสดง
สายฟ้า : เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากเรื่อง My Best Friend’s Wedding ก็เอาตัวละครหลักจากเรื่องนั้นมา เอาความสัมพันธ์ของตัวละครมา แล้วเอามาผูกเรื่องใหม่ โดยสลับขั้วเปลี่ยนเพศกัน แล้วคิดรายละเอียดเรื่องกับนักแสดง จากนั้นก็จัดแบ่งว่ามีกี่ฉาก ใครจะเจอกับใครบ้าง หลังจากนั้นก็ให้นักแสดง Improvise ต่อครับ

นาด : ใช้วิธีเลือกยังไง ว่าจะเอาตรงไหน ไม่เอาตรงไหน ยังไง
สายฟ้า : พอนักแสดง Improvise แล้ว เราก็จะเลือก โดยการพูดคุยแล้วสรุปกันเลยในแต่ละวัน หรือนักแสดงจะเพิ่มเติมอะไร ก็คุยกัน แล้วใส่เพิ่มเข้าไป


นาด : ประทับใจอะไรในเรื่อง My Best Friend’s Wedding ทำไมเป็นเรื่องนี้
สายฟ้า : ก็เริ่มจากนักแสดงนำของเรื่องนี้เขาชอบหนังเรื่องนี้ เราก็คุยกัน แล้วเห็นด้วยกันว่าเราจะทำเรื่องนี้

นาด : หมายความว่า ในทีมคุยกันก่อนว่าจะทำเรื่องอะไร แล้วก็ตกลงทำเรื่องนี้ ไปลงเทศกาลละคร
สายฟ้า : ครับ ก็ทำงานด้วยกันกับนักแสดง

นาด : แล้วเลือกนักแสดงยังไง
สายฟ้า : ตอนแรกเรายังไม่ฟิกซ์ตัวละคร ก็เลยชวนนักแสดงที่เคยแสดงให้แล้วครับ อย่างฮ้อ อ.นัท และ อ.ฮูก ซึ่งแต่ละคนก็อยากแสดงด้วย ก็ชวนกันมา ส่วนออกัส เคยมาดูหญิงเปรย แล้วชอบแล้วก็อยากแสดง ก็เลยชวนมา

นาด : ตอนที่นำไปแสดงในเทศกาลละครปีที่แล้ว กับคราวนี้มีการเปลี่ยนแปลง หรือมีอะไรแตกต่างจากเดิมบ้าง
สายฟ้า : ก็เพิ่มรายละเอียดให้กับตัวละคร และเพิ่มบางเหตุการณ์เข้ามา ละครก็ยาวขึ้น

นาด : จากครั้งที่แล้วแสดงมนร้านอาหาร มาคราวนี้ มาแสดงที่ ละครโรงเล็ก Crescent Moon Space ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมือนกันเลย ต้องปรับเปลี่ยนเรื่องฉากบ้างไหม
สายฟ้า : ครั้งนั้นเป็นบรรยากาศสบายๆแบบร้านอาหารอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เหมือนกับเราอยู่ในโรงละคร ผมรู้สึกว่าต้องมีการเซ็ทฉาก ตอนนี้เราเปลี่ยนฉากมาเป็นแกลเลอรี่แสดงภาพ ที่มีทั้งร้านอาหาร และแกลเลอรี่อยู่ในที่เดียวกัน เหมือนๆแถวๆโรงหนังลิโด ที่มีร้านเล็กๆหลายแบบอยู่ที่เดียวกัน

นาด : แล้วงานต่อไปของ On Box จะมีอีกเมื่อไหร่
สายฟ้า : ก็จะมีงานลงเทศกาลละครเป็นหลักครับ

นาด : คราวนี้เรามาพูดคุยทำความรู้จักกับนักแสดงกันบ้าง เริ่มจากนัทก่อนแล้วกัน ช่วยแนะนำชื่อจริงด้วย
นัท : ครับ ชื่อจริง บัณฑิษฐ์ พันศิริ ชื่อเล่น นัท จบปริญญาตรี จากคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ตอนนี้เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษครับ และกำลังเรียนป.โท อยู่ที่ มศว ประสานมิตร กำลังจะจบแล้วครับ

นาด : แล้วมาทำละครได้ยังไง
นัท : ตั้งแต่เข้าปี 2 เพื่อนชวนไปเข้าชมรมละครของคณะ ก็ได้เล่นละครของครุศาสตร์ ซึ่งจะเป็นแบบแนวละครเพื่อการศึกษา ทำละครให้เด็กดู แล้วที่ปรึกษาชมรมก็รู้จักกับพี่ฟ้า ก็เลยรู้จักกันมาเรื่อยๆ พอเรียนใกล้จบ พี่ฟ้าก็ชวนมาทำละครกับ On Box ก็ได้เล่นมา 3 เรื่องแล้ว เรื่องแรกที่เล่นคือ แฟนชาย

นาด : ตอนนี้เป็นอาจารย์ สอนอยู่ที่ไหนคะ
นัท : สอนที่ โรงเรียนสาธิตจุฬา มัธยม สอนวิชาภาษาอังกฤษ

นาด : ได้นำละครไปใช้กับนักเรียนบ้างหรือเปล่า
นัท : ใช้ครับ เพิ่งพานักเรียนไปอบรมละครที่ภัทราวดีเธียเตอร์ แล้วก็ให้นักเรียนแสดงด้วย โรงเรียนอื่นเป็นเด็กม.ปลาย แต่ของผมนี่เป็นเด็ก ม.ต้น มีนักเรียนคนหนึ่งได้รางวัล Talented Actor ก็ประทับใจมาก ก็ภูมิใจครับ

นาด : ขอถามหน่อยว่านัททำงานประจำแล้ว ทำไมยังมาทำละคร หรือชอบละครเพราะอะไร
นัท : ผมคิดง่ายๆเลยว่า ผมได้มีโอกาส ทำอะไรอย่างอื่นที่คนอย่างผมที่ทำงานประจำแล้วไม่มีโอกาสได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย ผมได้เป็นตัวละคร ที่ในชีวิตจริงผมไม่มีโอกาสได้เป็น ได้ทำ เช่น ตอนที่เล่นละครเด็ก ก็ได้เล่นเป็นตัวละคร ที่ถูกคนทั้งหมู่บ้านรังเกียจ ตราหน้าว่าเป็นกาลีบ้าน กาลีเมือง ซึ่งชีวิตจริงมันไม่มี บางทีก็เล่นเป็น หมา เล่นเป็นหนอน เราถือว่าชีวิตหนึ่ง เราได้เป็นอะไรหลายๆอย่าง อย่างนี้ มันคุ้ม แล้วยิ่งตอน ตอนปี 3 ต้องทำวิจัยเกี่ยวกับการศึกษา ผมเห็นว่า ละครน่าจะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่มีพลัง สามารถให้การเรียนการสอนมันราบรื่นขึ้น แล้วมันส่งผลต่อการรับรู้ที่ดีต่อผู้เรียน ก็เลยได้คำตอบว่าละครมันเป็นส่วนผสมของ Play กับ Learn มันคือ เพลิน มากๆ ทำให้ผู้เรียนมีทัศนคติต่อการเรียนที่ดีขึ้น ผมก็เลยสนใจละครและทำเรื่อยมาจนถึงวันนี้ครับ

นาด : แล้วใช้เวลาช่วงเย็นมาทำละคร มีผลกระทบต่องานหลักบ้างไหม
นัท : ถามว่ากระทบไหม จริงๆ มันก็กระทบแหละครับ เพราะว่างานครูก็คือ มีคนบอกว่าน่ะครับ ว่าครุ แปลว่า หนัก งานครูมันหนักมาก ต้องทำงานเช้า ดูแลนักเรียนเข้าแถว โฮมรูม ตรวจงาน ซึ่งครูเนี่ยสอนเวลาปกติเสร็จบ่ายสามโมงครึ่ง อยู่เวรถึงสี่โมงเย็น หลังจากนั้นก็ต้องนั่งตรวจงานต่อ แต่ในเมื่อเราสนใจละคร เราก็ต้องยอมรับ เราต้องพร้อมจะทำงานหนักกว่าคนทั่วไป

นาด : นัทก็เล่นละครมาก่อนหน้านี้แล้วหลายเรื่อง เคยทำงานกับผู้กำกับคนอื่นๆก่อนมาร่วมงานกับสายฟ้า พอมาทำงานร่วมกับผู้กำกับคนนี้ แล้วเป็นยังไงบ้าง
นัท : ก็จะเป็นที่รู้กันดีว่าพี่ฟ้าเน้นการ Improvisation ก็คือ ถ้าตอนที่ทำงานกับที่ชุมนุมละคร เป็นน้องๆนักศึกษา เขาก็เริ่มจากการเป็นนักแสดงมาก่อน แล้วพอมาทำงานกำกับแล้วเนี่ย ซึ่งตัวผมเองก็เป็นนะ พอมากำกับแล้วก็จะเป็นแบบเป็นทั้งผู้กำกับ และแอคติ้งโคชไปกลายๆ ให้นักแสดงเล่นก่อนก็จริง แต่พอถึงเวลา ก็บอกว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วผู้กำกับก็โดดไปเล่นให้ดู ว่าพี่ขอแบบนี้ แต่พี่ฟ้านี่เขาโดดเด่นก็คือ ให้นักแสดงแสดงไปก่อน ไม่มีการมาบอกว่าต้องเอามือไว้ตรงนี้ เอาขาไว้ตรงนี้ แต่จะบอกแค่ว่า ขอมากกว่านี้ ขอน้อยกว่านี้ มีอยู่ประโยคหนึ่งชอบมาก ตอนนั้นเล่นกับเขาเป็นเรื่องที่สอง ตัวละครมันนิ่งมาก ผมก็นิ่งมาก แต่พี่ฟ้าบอกว่า นัท มันนิ่งได้ แต่ต้องนิ่งอย่างมีพลัง นัทอย่าดาวน์ๆ ผมก็ถือว่าเป็นการท้าทายอย่างหนึ่งของนักแสดง บางทีการใส่พานมาให้ มันก็ง่ายเกินไป มันไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง นี่ชื่นชมนะครับ(หัวเราะ)

นาด : ขอบคุณมากค่ะนัท คราวนี้เรามาคุยกับนักแสดงอีกคน ช่วยแนะนำตัวด้วย
ฮ้อ : ครับ ชื่อ วัชรพงษ์ กาญจนกฤต ชื่อเล่นชื่อ ฮ้อ ครับ ผมจบ สื่อสารมวล จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบโท จากยูนิเวอร์ซิตี้ออฟแคนเบอร่า ออสเตรเลีย ด้านมาร์เก็ทติ้งคอมมูนิเคชั่น ตอนที่อยู่เชียงใหม่ก็เป็นสมาชิกชมรมการแสดง ก็เป็นรุ่นน้องพี่จา (จารุนันท์ พันธชาติ - กลุ่มบีฟลอร์) ก็เริ่มทำละครตั้งแต่ปี 1 ตอนนั้นเป็นเรื่อง คาเรนจัง เอาการ์ตูนญี่ปุ่นมาทำ ก็แบบสนุกๆขำๆ ก็ทำละครมาเรื่อยๆอยู่ชมรมการแสดงทั้ง 4 ปี


นาด : แล้วยังไง ไปเรียนต่อก่อน แล้วกลับมาทำละคร หรือว่ายังไง
ฮ้อ : ไปเรียนโทก่อนครับ พอเรียนจบ กลับมา ก็มาทำงานประจำเกือบ 2 ปี แล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเราเลย ทนทำงานประจำอีกไม่ไหวแล้ว ก็เลยออกมาทำร้านอยู่หลังตึกการบินไทย


นาด : ร้านอะไรคะ
ฮ้อ : ตอนนี้ฮ้อมี 3 ร้าน ร้านกระเป๋า เสื้อผ้า และก็เครื่องประดับ แล้วตอนนั้นพี่จาแนะนำให้รู้จักกับพี่ฟ้า เพราะตอนนั้นไปดูละครที่พี่จาเล่น แล้วพี่จาถามว่ายังอยากทำละครอยู่หรือเปล่า ฮ้อก็บอกว่า อืม ยังอยากทำอยู่ พี่จาก็เลยแนะนำให้ไปช่วยพี่ฟ้า เรื่องแรกเลยก็คือ หญิงเปรย ก่อนหน้านั้นก็เคยดูเรื่องแฟนอิฉันด้วย พอมาอีกปีหนึ่ง ก็เลยได้เข้ามาเล่นด้วย


นาด : หลังจากเราห่างละครไปหลายปีเหมือนกัน แล้วอยู่ๆก็กลับมาเล่นแรกๆเลย รู้สึกยังไงบ้าง
ฮ้อ : แรกๆก็ยังงๆ เพราะจริงๆแล้วตอนที่อยู่เชียงใหม่ก็ไม่ค่อยได้แสดงเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะทำงานเบื้องหลังซะเยอะ เล่นไม่กี่เรื่องครับ แล้วตอนมาเล่นกับพี่ฟ้าเรื่องแรก ก็อย่างที่พี่เขาบอกว่าตอนนั้นเขายังแบบติสท์ๆอยู่ ถ้าเราถามอะไรพี่ฟ้า เขาก็จะตอบเรากลับมาแบบคำถามน่ะครับ แต่ตอนนี้โอเคนะครับ เวลาจะอธิบายอะไรก็ชัดเจนดี เข้าใจดีขึ้น
สายฟ้า : พอดีไปร่วมงานเรื่องประสาทแตกมาครับ แล้วได้ทำงานกับครูหนิง (พันพัสสา ธูปเทียน) เขาสามารถบอกแล้วทำให้เราพูด เราสื่อสารได้ นั่นแหละครับ


นาด : แล้วเจอปัญหาเกี่ยวกับการแสดงบ้างไหม
ฮ้อ : ก็มีครับ คือเป็นคนสำอางค์มั้งครับ แล้วระวังเรื่องการวางตัวมากไป วันก่อนก็เพิ่งโดนพี่ฟ้าว่า ว่าอย่าไปคิดเรื่องข้างนอก เล่นไปเลย อย่าห่วงว่าคนจะมองเรายังไง ก็เริ่มจะเข้าใจว่าอย่าห่วงภาพมาก


นาด : รู้สึกยังไงกับการมีส่วนร่วมในการสร้างเรื่องสร้างบทเรื่องนี้
ฮ้อ : ก็รู้สึกดีครับ เพราะว่าพี่ฟ้าจะเปิดกว้างให้นักแสดงมีส่วนร่วมเต็มที่ ให้สมมุติว่าเราเป็นแคแรคเตอร์แล้วอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ ลองเล่นดู ให้ปล่อยให้เต็มที่ แล้วค่อยมาคุยกันว่าอะไรดีไม่ดี



นาด : เอาล่ะคราวนี้มาถึง อ.ฮูกบ้าง ช่วยแนะนำตัวหน่อยค่ะ
ฮูก : ชื่อ อรรถพล อนันตวรสกุล ชื่อเล่นชื่อ ฮูก ครับ จบปริญญาตรี และ โท ด้านครุศาตร์ จากจุฬาฯ และโท ด้านสังคมศาสตร์ จากมหิดล ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่ครุศาสตร์ จุฬาฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับละครโดยตรง แต่ชอบดูละคร สมัยอยู่ปี 4 ก่อนจะจบ เคยไปเวริ์คชอปละครกับกลุ่มกระจกเงา ตอนนั้นก็เวริ์คชอปอยู่สองเดือน แล้วหลังจากนั้นก็เป็นอาสาสมัครเล่นละครหุ่นอยู่พักหนึ่ง แต่ทำงานประจำด้วย เขาก็เลยให้ถอยออกมา

นาด : ตอนนั้นที่ทำเป็นโครงการอะไรคะ
ฮูก : สิทธิชุมชน ก็ไปเชิดหุ่น ละครวันเด็กที่สนามหลวง

นาด : รู้จัก เข้าไปเวริ์คชอปกับกลุ่มกระจกเงาได้ยังไง
ฮูก : เห็นประกาศที่เขาติดไว้แถวๆอนุสาวรีย์ ก็เลยเดินไปสมัครครับ ก็ไปเวริ์คชอปที่บ้านเซเวียร์ ผมรุ่นเดียวกับเจน ผมเรียนกับพี่หนูหริ่ง (สมบัติ บุญงามอนงค์ – กลุ่มกระจกเงา / ปัจจุบันคือ มูลนิธิกระจกเงา) พอหลังจากนั้นเรียนจบก็มาทำงานเป็นอาจารย์ ก็เป็นแค่คนดูละคร ตอนแรกเป็นอาจารย์มัธยม แต่พอจบโทแล้ว เลยย้ายไปที่ครุศาสตร์ พอไปอยู่คณะ ทำให้ได้สอนวิชานาฏการสำหรับครู เป็นเหมือนกิจกรรมละครสำหรับครูปฐม และมัธยม ทำให้ต้องกลับมาดูละครเยอะ แล้วตอนหลังก็มีพวกลูกศิษย์ พวกเจ้าออมกับหลายคนมาฟอร์มทีมทำชมรมละคร เน้นละครเด็ก ละครเยาวชน ก็เลยได้กลับมายุ่งๆกับวงการละครอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้เล่น กลับมาเล่นเรื่องแรกคือ หญิงเปรย ตอนนั้นยังไม่ยุ่งมาก มีเวลาพอจะซ้อมได้ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าพวกลูกศิษย์ไปไกลมากแล้ว เล่นละครกันเยอะมาก

นาด : รู้จักกับสายฟ้าได้ยังไง ทำไมเขามาชวนเล่นละคร
ฮูก : เขามาอ่านหนังสือทำมือของผมครับ เขาเลยอีเมลล์มาคุย แล้วก็ชวนมาดูแฮมเบอเกอร์ม๊อบ ผมก็เลยได้รู้จักกลุ่มหน้ากากเปลือย

นาด : จากที่ได้เล่นเรื่อง หญิงเปรย กับ เรื่องนี้ ที่รักของกัน รู้สึกแตกต่างกันยังไงบ้าง
ฮูก : ทำเรื่องนี้สนุกกว่าเรื่องที่แล้ว (หัวเราะ) เพราะเรื่องที่แล้วประเด็นมันเครียด ตอน หญิงเปรย ผมเพิ่งกลับมาเล่นละครเรื่องแรก หลังจากที่หยุดไปนาน ก็ยังงงๆอยู่ ผมไม่ได้เรียนละครอย่างเป็นระบบ แล้วก็ทิ้งละครมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว ได้แต่เป็นคนดูอยู่นาน พอเป็นคนดูมันก็เลยรู้เยอะไปในแง่การเป็นคนดู พอกลับมาก็ไม่รู้จะเล่นยังไง แต่ผู้กำกับเขาก็ดี ก็ปล่อยให้เล่นไป เรื่องนี้ชอบวิธีการทำงาน และก็สนุกกว่าเพราะเราได้แชร์การทำเรื่อง ได้หาตัวละครเอง ได้เริ่มพร้อมกันทั้งสี่คน


นาด : เอาล่ะ คราวนี้ก็มาถึงนักแสดงสาวสวยคนเดียวในเรื่องนี้ค่ะ ช่วยแนะนำตัวหน่อย
ออกัส : ทารินี ทรงเกียรติธนา ออกัสค่ะ จริงๆเรียนจิตวิทยาคลีนิค ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นคนชอบการแสดงอยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ เต้น ร้องเพลง เล่นละครเวทีของโรงเรียน แล้วมีโอกาสได้รู้จักพี่ทิพย์ (มณฑาทิพย์ สุขโสภา - กลุ่มพระจันทร์พเนจร) เป็นละครหุ่นเงาที่เชียงใหม่ ก็ได้รู้จัก อาคำรณ พี่คาเงะ พี่จา พี่นาด ก่อนจะจบได้กำกับละครเรื่อง เพราะพรุ่งนี้ไม่มีฉัน พอเรียนจบแล้ว ก็ได้เล่นละครเวทีที่ประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นเป็นโครงการของมูลนิธิญี่ปุ่น
ก็รู้สึกตัวว่าเป็นคนทำงานการแสดงมาตลอด ออคิดว่า ออโชคดีตรงที่ออเรียนจิตวิทยามา ทำให้สามารถเข้าใจตัวละครได้ลึก แต่หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่น ก็ไม่ได้แตะละครอีกเลย ก็ประมาณสองสามปี แล้วพี่จาโทรมาบอกว่ามีออดิชั่นละครเพลงเล่นให้เด็กดู ของตลาดหลักทรัพย์ ก็ได้เล่น จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าไม่ขอข้าวขอแกง และ หมูอู๊ดอิ๊ดกับกระปุกกายสิทธิ์
แล้วก็กลับมาเล่นเรื่องนี้ในปีที่แล้วในเทศกาลละครกรุงเทพ แล้วก็ไปเล่นอีกที่ร้านรัก อีก 6 รอบ ก็มีเสียงตอบรับดีมาก เราก็เลยกลับมาเล่นอีก แล้วพวกเราคิดว่าเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก เราก็เลยเล่นในเดือนนี้เดือนแห่งความรัก ออรู้สึกว่าเรากลับมาครั้งปึ๊กขึ้น เราก็ทำการบ้านกันมาอย่างดี ก็ขยันกันมากขึ้น

นี่คือเรื่องราวของผู้กำกับและนักแสดง ที่สร้างสรรค์เรื่องราวของความรัก ที่รักของกัน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของความรักและมิตรภาพ มาสัมผัสกับความรักของพวกเขาได้ในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ 15-17 กุมภาพันธ์นี้

No comments: