พูดคุยกับสองนักแสดงจาก The Mind Game
สัมภาษณ์และรูปถ่ายโดย สินีนาฏ เกษประไพ
สวัสดีค่ะ หลังจากที่เราหายหน้าหายตาไปนาน ไม่ได้ติดตามพูดคุยกับทีมงานละครที่นำละครมาลงที่ละครโรงเล็ก Crescent Moon Space ผ่านไป 3 เรื่องแล้ว (คือ หยดเลือดที่เหือดหาย, Welcome to Nothing และ ผ่าผิวน้ำ) ก็ต้องขออภัย แต่เราก็พยายามจะทำ แต่ตอนนี้ก็ทำได้ตามความสะดวกและความว่างของคนสัมภาษณ์คนแกะเทปน่ะค่ะ คราวนี้เรามาพูดคุยกับสองนักแสดงจากละครระทึกขวัญเรื่อง The Mind Game จากผู้กำกับ ครูหนุน ปัณณทัต โพธิเวชกุล
นาด : อยากให้โอ๊คแนะนำตัวเองนิดนึง
โอ๊ค : ครับ ผม กรีติ ศิวะเกื้อ ชื่อเล่น โอ๊ค ครับ เรียนจบซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับด้านละครเลยครับ ผมจบบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยชินวัตร แต่ว่าตอนที่เรียนก็เรียนการแสดงไปด้วยครับ
นาด : เรียนกับใคร ที่ไหนบ้าง หรือเรียนในมหาลัย
โอ๊ค : เปล่าครับ ผมเรียนข้างนอกหมดเลยครับ ตอนอยู่ปี 1 ตอนนั้นเรียนที่บางกอกการละคร ตอนนั้นอยู่ที่ตึกชินวัตร 3 เรียนกับครูหลายๆคน เป็นหลักสูตรที่ครูบิ๊ก (ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์) เป็นคนเขียนน่ะครับ ก็เลยได้เรียนกับอาจารย์หลายๆคน พี่จุ๋ม (สุมณฑา สวนผลรัตน์) ก็ไปสอน แล้วก็มี ครูอ้อ (มัลลิกา ตั้งสงบ) ครูสืบ (บุญส่ง นาคภู่) ครูหนึ่ง ครูอิ๋ว ครูหนุน ก็คือคนที่ผมมาเจอในวงการละครเวทีตอนนี้ ผมเคยเรียนแอ็คติ้งกับเขามาก่อน ตอนนั้นมีแอ็คติ้ง เอ บี ซี อ่ะครับ แล้วก็ไม่ได้เปิดซี เพราะไม่มีคนเรียน หลังจากนั้นที่สมาคมผู้กำกับมีเปิดสอนการแสดง ก็เลยไปเรียน
นาด : ใครจัด แล้วใครสอนบ้าง
โอ๊ค : จัดโดยสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งประเทศไทย สอนโดยครูหนืด (นิมิตร พิพิธกุล) ก็ไปเรียนกับพี่รบ พี่ตู้เนี่ยแหละครับ แล้วช่วงนั้นก็ไปแคสหนังก็ได้เล่นหนังสองเรื่อง คือ โบอางูยักษ์ ที่ฉายไปแล้ว อีกเรื่องหนึ่งคือ สวยซามูไร คิดว่าจะฉายปลายปีนี้ครับ นอกนั้นก็ได้งานถ่ายโฆษณา ถ่ายวิดิโอพรีเซ็นต์ ถ่ายโน่นถ่ายนี่ไปเรื่อย
นาด : งานโฆษณามีอะไรบ้าง
โอ๊ค : ครับ ผม กรีติ ศิวะเกื้อ ชื่อเล่น โอ๊ค ครับ เรียนจบซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับด้านละครเลยครับ ผมจบบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยชินวัตร แต่ว่าตอนที่เรียนก็เรียนการแสดงไปด้วยครับ
นาด : เรียนกับใคร ที่ไหนบ้าง หรือเรียนในมหาลัย
โอ๊ค : เปล่าครับ ผมเรียนข้างนอกหมดเลยครับ ตอนอยู่ปี 1 ตอนนั้นเรียนที่บางกอกการละคร ตอนนั้นอยู่ที่ตึกชินวัตร 3 เรียนกับครูหลายๆคน เป็นหลักสูตรที่ครูบิ๊ก (ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์) เป็นคนเขียนน่ะครับ ก็เลยได้เรียนกับอาจารย์หลายๆคน พี่จุ๋ม (สุมณฑา สวนผลรัตน์) ก็ไปสอน แล้วก็มี ครูอ้อ (มัลลิกา ตั้งสงบ) ครูสืบ (บุญส่ง นาคภู่) ครูหนึ่ง ครูอิ๋ว ครูหนุน ก็คือคนที่ผมมาเจอในวงการละครเวทีตอนนี้ ผมเคยเรียนแอ็คติ้งกับเขามาก่อน ตอนนั้นมีแอ็คติ้ง เอ บี ซี อ่ะครับ แล้วก็ไม่ได้เปิดซี เพราะไม่มีคนเรียน หลังจากนั้นที่สมาคมผู้กำกับมีเปิดสอนการแสดง ก็เลยไปเรียน
นาด : ใครจัด แล้วใครสอนบ้าง
โอ๊ค : จัดโดยสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งประเทศไทย สอนโดยครูหนืด (นิมิตร พิพิธกุล) ก็ไปเรียนกับพี่รบ พี่ตู้เนี่ยแหละครับ แล้วช่วงนั้นก็ไปแคสหนังก็ได้เล่นหนังสองเรื่อง คือ โบอางูยักษ์ ที่ฉายไปแล้ว อีกเรื่องหนึ่งคือ สวยซามูไร คิดว่าจะฉายปลายปีนี้ครับ นอกนั้นก็ได้งานถ่ายโฆษณา ถ่ายวิดิโอพรีเซ็นต์ ถ่ายโน่นถ่ายนี่ไปเรื่อย
นาด : งานโฆษณามีอะไรบ้าง
โอ๊ค : เช่น เรโซน่า ลูกอมฮาร์ดบีท แล้วก็เฟอร์นิเจอร์อินเด็กซ์ ครับ อ้อ แล้วก็โฆษณาแสตมป์เซเว่น แล้วก็ มายคอนโด
นาด : แล้วละครเวทีเรื่องแรก โอ๊คเล่นเรื่องอะไร
โอ๊ค : ถ้าเป็นเรื่องแรกจริงๆแล้ว โอ๊คเล่นตอนสมัยเรียน เล่นเรื่อง Jesus Christ Superstar ตอนนั้นเรียน ม.5 ที่อเมริกา ตอนนั้นเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ก็ไปขอเขาออดิชั่น เล่นที่ Santafe Preparatory School
นาด : เล่นเป็นตัวไหน
โอ๊ค : เล่นเป็นตัวร้ายครับ เป็นลูกน้องของจูดา สนุกมาก ตอนนั้นอายุ 17 เองครับ แล้วละครเรื่องนี้ก็ได้ร้องเพลง ก็เป็นละครเรื่องแรกครับ พอหลังจากเล่นหนังเรื่องโบอางูยักษ์แล้วเนี่ยก็มาดูหนังที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ แล้วก็เห็นใบโปสเตอร์เวริ์คชอปของกลุ่มบีฟลอร์ ตอนนั้นชื่อเวริ์คชอป บีเฟส (B Floor B Fest 2006) ก็เลยมามาเวริ์คชอป ก็เลยมาเจอกับพี่อ้นที่แสดงในโบอา เค้าก็บอกว่าที่มะขามป้อมเขารับอาสามสมัครจะให้เล่นละครเวที อยากลองมั๊ย ก็เลยชวนกันไป ก็เลยได้เล่นละครเรื่อง ศรีบูรพา พี่ตั้ว (ประดิษฐ ประสาททอง) เป็นผู้กำกับ เสร็จแล้วหลังจากนั้นเข้าเวริ์คชอปบีเฟสก็ชอบมาก แล้วก็มาเจอพระจันทร์เสี้ยวก็เลยตามดูงานพระจันทร์เสี้ยวมาเรื่อยๆ หลายเรื่อง หลังจากนั้นก็มีเวริ์คชอปอีกหลายๆอันก็เข้ามาเวริ์คชอปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Butoh workshop การใช้ร่างกาย หรืออย่างอื่น แล้วพี่จา (จารุนันท์ พันธชาติ) ก็ชวนให้มาเป็นนักแสดงเรื่อง กูรูเธียเตอร์ เล่นครั้งแรกกันตอนปี 2549 แล้วก็มา re-stage อีกทีหนึ่งตอนปี 2550 หลังจากนั้นพี่อ้นก็ชวนมาเล่น Welcome to Nothing ก็สนุกมากเลยครับ The Mind Game
นาด : เนื่องจากผู้กำกับยังไม่ว่าง ยังยุ่งอยู่ เราเลยไม่ได้พูดคุยกับครูหนุน เลยถามนักแสดงแทนว่า ทำไมเป็น The Mind Game
โอ๊ค : ตอนนั้นครูหนุนได้รู้จักกับบทละครเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยเรียนที่อเมริกา ก็เลยอยากจะกำกับเองโดยใช้นักแสดงไทย แต่เล่นเป็นภาษาอังกฤษ นี่คือที่ยากสำหรับผม เพราะสำเนียงของผมออกจะมั่วๆสักหน่อย จะอังกฤษก็ไม่ จะอเมริกันก็ไม่อเมริกัน ก็ต้องใช้เวลาปรับมาก แล้วเรื่องบทก็ยาก เพราะตัวละครจะอายุมากกว่า และบทก็ค่อนข้างเครียดมาก แต่ก็สนุกมากเหมือนกัน เพราะมันแปลกใหม่สำหรับผม ไม่เคยได้รับบทแบบนี้มาก่อน
นาด : บรรยากาศช่วงซ้อมเป็นยังไงบ้าง ไปซ้อมกันที่ไหน
โอ๊ค : ก็สนุกมากครับ เราไปซ้อมกันที่สตูดิโอของพี่เอ๋ ที่ DemoCrazy Studio การซ้อมก็เป็นไปอย่างสบายๆ ทั้งสามคนก็ชอบชวนกันไปกินโน่นนี่เรื่อยๆ ครูหนุนเป็นผู้กำกับใจดี และสามารถไกด์ให้ผมทำได้ เช่น เรื่องสำเนียง ก็ต้องกลับบ้านไปทำรูปปากให้ถูกต้อง ให้ออกเสียงท้ายคำให้ชัดเจน แล้วต้องทำหน้าแปลกประหลาดหน้ากระจกให้หน้าคลาย เรื่องเสียงที่โอ๊คมีปัญหา ครูหนุนก็ให้หาเสียง หาความรู้สึกใหม่ๆ เราต้องค้นหา สุดท้ายก็ได้อย่างที่อยากได้ แล้วพี่เอ๋ก็เก่ง แล้วก็เห็นพี่เอ๋ซ้อมอยู่ตลอด หรือไม่ก็ทำโน่นทำนี่เพื่อให้ได้อย่างที่อยากให้เป็น ตอนหลังทีมงานก็เข้ามา แล้วเป็นทีมงานที่น่ารักมาก ก็เข้ามาช่วยกัน เอ้อ ลืมบอกไปว่า ผมเล่นอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง ประสาทแตก ของครูหนิง (พันพัสสา ธูปเทียน) หลังจากกูรูเธียเตอร์ เป็นงานที่ยากและท้าทาย ผมก็อยากจะงานที่แปลกๆยากๆอย่างนี้แหละครับ เพราะแต่ละงานทำให้เราได้เรียนรู้ได้เติบโต
นาด : งานต่อไปของโอ๊คล่ะ จะทำอะไร
โอ๊ค : หลังจากนี้ก็จะกลับบ้านก่อนครับ แล้วตอนปลายๆปีก็กลับมาเล่นงานของพี่นาดล่ะครับ แล้วก็มาเข้าเวริ์คชอปกับพระจันทร์เสี้ยวด้วย
นาด : ลืมถามไปว่า ชอบละครเพราะอะไร ทำไมถึงมาทำละคร หรือชอบอะไรในละคร
โอ๊ค : ตอนเป็นเด็กผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างแปลกประหลาด แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก ชอบคิดอะไรแปลกๆ พอโตขึ้นก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กก้าวร้าวไม่น่ารัก แต่พอมาเรียนละครแล้วทำให้เข้าใจอะไรไมากขึ้น ได้เข้าใจคนอื่น ได้เข้าใจตัวเอง เหมือนกับสันดานดีขึ้นนิดหนึ่ง ก็เลยคิดว่า คือ ที่อยากเป็นนักแสดงเพราะว่า ผมคิดว่าชีวิตคนเราสั้นจังเลย แล้วผมก็เป็นคนที่กลัวตัวเองแก่เพราะผมยังอยากจะทำอะไรอีกเยอะๆ แต่การได้เล่นละครได้เล่นบทบาทอะไรหลายๆอย่าง เราได้เห็นแง่มุมอะไรแปลกๆ ได้มองเห็นอะไรหลายๆอย่างที่เอามาย่อๆให้เราได้เรียนรู้ ตรงนี้คือสิ่งสนุกและเสน่ห์ของละครที่อยากทำ แล้วก็การค้นหา มันเป็นการค้นหาจิตใจของตัวเองจากการเล่นบทต่างๆ ทำให้ได้รู้จักคนอื่นและได้รู้จักตัวเองในแบบอื่น
นาด : อีกคำถามหนึ่ง มองตัวเองกับงานละครไว้ยังไง อยากจะทำหน้าที่อะไรหรือมุ่งเน้นด้านไหนในงานละครเวที
โอ๊ค : ผมอยากเขียนบท ผมมีเรื่องราวที่ผมอยากเล่า แต่ตอนนี้ผมสนุกกับการเป็นนักแสดงอยู่มากๆเลยครับ ผมก็คิดว่าจะเรียนรู้ไปก่อนในช่วงนี้ จริงๆแล้วผมก็เรียนละครจากข้างนอก คือไม่ได้เรียนละครมาโดยตรง ผมเรียนจากการไปร่วมงานกับคนอื่นๆ เหมือนอย่าง เรียนจากการมาร่วมงานกับครูหนุนใน The Mind Game ผมก็ได้เรียนรรู้หลายๆอย่าง คิดว่ามันเป็นกำไรตรงนี้ ผมอยากเป็นนักแสดงที่พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ได้มีส่วนในการทำให้ คือ ละคร มันเป็นการสื่อสารในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มันทำให้เห็นอะไรหลายอย่าง เห็นแง่มุมอื่น ทำให้สนุกได้ด้วย ผมคิดว่า ถึงผมอาจจะไม่ได้มีบทบาทที่ยิ่งใหญ่อะไร แค่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งแค่นี้ก็รู้สึกดีใจมากแล้ว
นาด : ขอบคุณมากค่ะโอ๊ค คราวนี้เราก็ตามไปคุยกับนักแสดงหญิงกันบ้าง (ซึ่งกำลังทำผมอยู่) คือเอ๋ ภาวิณี สมรรคบุตร ก็อยากให้เอ๋ช่วยเล่านิดหนึ่งว่าจบที่ไหน ทำงานละครอะไรมาบ้าง
เอ๋ : จบจากปริญญาตรี เอกละครธรรมศาสตร์ โทวาทะวิทยาและสื่อสารการแสดง จากนิเทศน์ศาสตร์ จุฬา
นาด : แล้วละครเวทีเรื่องแรก โอ๊คเล่นเรื่องอะไร
โอ๊ค : ถ้าเป็นเรื่องแรกจริงๆแล้ว โอ๊คเล่นตอนสมัยเรียน เล่นเรื่อง Jesus Christ Superstar ตอนนั้นเรียน ม.5 ที่อเมริกา ตอนนั้นเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ก็ไปขอเขาออดิชั่น เล่นที่ Santafe Preparatory School
นาด : เล่นเป็นตัวไหน
โอ๊ค : เล่นเป็นตัวร้ายครับ เป็นลูกน้องของจูดา สนุกมาก ตอนนั้นอายุ 17 เองครับ แล้วละครเรื่องนี้ก็ได้ร้องเพลง ก็เป็นละครเรื่องแรกครับ พอหลังจากเล่นหนังเรื่องโบอางูยักษ์แล้วเนี่ยก็มาดูหนังที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ แล้วก็เห็นใบโปสเตอร์เวริ์คชอปของกลุ่มบีฟลอร์ ตอนนั้นชื่อเวริ์คชอป บีเฟส (B Floor B Fest 2006) ก็เลยมามาเวริ์คชอป ก็เลยมาเจอกับพี่อ้นที่แสดงในโบอา เค้าก็บอกว่าที่มะขามป้อมเขารับอาสามสมัครจะให้เล่นละครเวที อยากลองมั๊ย ก็เลยชวนกันไป ก็เลยได้เล่นละครเรื่อง ศรีบูรพา พี่ตั้ว (ประดิษฐ ประสาททอง) เป็นผู้กำกับ เสร็จแล้วหลังจากนั้นเข้าเวริ์คชอปบีเฟสก็ชอบมาก แล้วก็มาเจอพระจันทร์เสี้ยวก็เลยตามดูงานพระจันทร์เสี้ยวมาเรื่อยๆ หลายเรื่อง หลังจากนั้นก็มีเวริ์คชอปอีกหลายๆอันก็เข้ามาเวริ์คชอปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Butoh workshop การใช้ร่างกาย หรืออย่างอื่น แล้วพี่จา (จารุนันท์ พันธชาติ) ก็ชวนให้มาเป็นนักแสดงเรื่อง กูรูเธียเตอร์ เล่นครั้งแรกกันตอนปี 2549 แล้วก็มา re-stage อีกทีหนึ่งตอนปี 2550 หลังจากนั้นพี่อ้นก็ชวนมาเล่น Welcome to Nothing ก็สนุกมากเลยครับ The Mind Game
นาด : เนื่องจากผู้กำกับยังไม่ว่าง ยังยุ่งอยู่ เราเลยไม่ได้พูดคุยกับครูหนุน เลยถามนักแสดงแทนว่า ทำไมเป็น The Mind Game
โอ๊ค : ตอนนั้นครูหนุนได้รู้จักกับบทละครเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยเรียนที่อเมริกา ก็เลยอยากจะกำกับเองโดยใช้นักแสดงไทย แต่เล่นเป็นภาษาอังกฤษ นี่คือที่ยากสำหรับผม เพราะสำเนียงของผมออกจะมั่วๆสักหน่อย จะอังกฤษก็ไม่ จะอเมริกันก็ไม่อเมริกัน ก็ต้องใช้เวลาปรับมาก แล้วเรื่องบทก็ยาก เพราะตัวละครจะอายุมากกว่า และบทก็ค่อนข้างเครียดมาก แต่ก็สนุกมากเหมือนกัน เพราะมันแปลกใหม่สำหรับผม ไม่เคยได้รับบทแบบนี้มาก่อน
นาด : บรรยากาศช่วงซ้อมเป็นยังไงบ้าง ไปซ้อมกันที่ไหน
โอ๊ค : ก็สนุกมากครับ เราไปซ้อมกันที่สตูดิโอของพี่เอ๋ ที่ DemoCrazy Studio การซ้อมก็เป็นไปอย่างสบายๆ ทั้งสามคนก็ชอบชวนกันไปกินโน่นนี่เรื่อยๆ ครูหนุนเป็นผู้กำกับใจดี และสามารถไกด์ให้ผมทำได้ เช่น เรื่องสำเนียง ก็ต้องกลับบ้านไปทำรูปปากให้ถูกต้อง ให้ออกเสียงท้ายคำให้ชัดเจน แล้วต้องทำหน้าแปลกประหลาดหน้ากระจกให้หน้าคลาย เรื่องเสียงที่โอ๊คมีปัญหา ครูหนุนก็ให้หาเสียง หาความรู้สึกใหม่ๆ เราต้องค้นหา สุดท้ายก็ได้อย่างที่อยากได้ แล้วพี่เอ๋ก็เก่ง แล้วก็เห็นพี่เอ๋ซ้อมอยู่ตลอด หรือไม่ก็ทำโน่นทำนี่เพื่อให้ได้อย่างที่อยากให้เป็น ตอนหลังทีมงานก็เข้ามา แล้วเป็นทีมงานที่น่ารักมาก ก็เข้ามาช่วยกัน เอ้อ ลืมบอกไปว่า ผมเล่นอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง ประสาทแตก ของครูหนิง (พันพัสสา ธูปเทียน) หลังจากกูรูเธียเตอร์ เป็นงานที่ยากและท้าทาย ผมก็อยากจะงานที่แปลกๆยากๆอย่างนี้แหละครับ เพราะแต่ละงานทำให้เราได้เรียนรู้ได้เติบโต
นาด : งานต่อไปของโอ๊คล่ะ จะทำอะไร
โอ๊ค : หลังจากนี้ก็จะกลับบ้านก่อนครับ แล้วตอนปลายๆปีก็กลับมาเล่นงานของพี่นาดล่ะครับ แล้วก็มาเข้าเวริ์คชอปกับพระจันทร์เสี้ยวด้วย
นาด : ลืมถามไปว่า ชอบละครเพราะอะไร ทำไมถึงมาทำละคร หรือชอบอะไรในละคร
โอ๊ค : ตอนเป็นเด็กผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างแปลกประหลาด แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก ชอบคิดอะไรแปลกๆ พอโตขึ้นก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กก้าวร้าวไม่น่ารัก แต่พอมาเรียนละครแล้วทำให้เข้าใจอะไรไมากขึ้น ได้เข้าใจคนอื่น ได้เข้าใจตัวเอง เหมือนกับสันดานดีขึ้นนิดหนึ่ง ก็เลยคิดว่า คือ ที่อยากเป็นนักแสดงเพราะว่า ผมคิดว่าชีวิตคนเราสั้นจังเลย แล้วผมก็เป็นคนที่กลัวตัวเองแก่เพราะผมยังอยากจะทำอะไรอีกเยอะๆ แต่การได้เล่นละครได้เล่นบทบาทอะไรหลายๆอย่าง เราได้เห็นแง่มุมอะไรแปลกๆ ได้มองเห็นอะไรหลายๆอย่างที่เอามาย่อๆให้เราได้เรียนรู้ ตรงนี้คือสิ่งสนุกและเสน่ห์ของละครที่อยากทำ แล้วก็การค้นหา มันเป็นการค้นหาจิตใจของตัวเองจากการเล่นบทต่างๆ ทำให้ได้รู้จักคนอื่นและได้รู้จักตัวเองในแบบอื่น
นาด : อีกคำถามหนึ่ง มองตัวเองกับงานละครไว้ยังไง อยากจะทำหน้าที่อะไรหรือมุ่งเน้นด้านไหนในงานละครเวที
โอ๊ค : ผมอยากเขียนบท ผมมีเรื่องราวที่ผมอยากเล่า แต่ตอนนี้ผมสนุกกับการเป็นนักแสดงอยู่มากๆเลยครับ ผมก็คิดว่าจะเรียนรู้ไปก่อนในช่วงนี้ จริงๆแล้วผมก็เรียนละครจากข้างนอก คือไม่ได้เรียนละครมาโดยตรง ผมเรียนจากการไปร่วมงานกับคนอื่นๆ เหมือนอย่าง เรียนจากการมาร่วมงานกับครูหนุนใน The Mind Game ผมก็ได้เรียนรรู้หลายๆอย่าง คิดว่ามันเป็นกำไรตรงนี้ ผมอยากเป็นนักแสดงที่พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ได้มีส่วนในการทำให้ คือ ละคร มันเป็นการสื่อสารในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มันทำให้เห็นอะไรหลายอย่าง เห็นแง่มุมอื่น ทำให้สนุกได้ด้วย ผมคิดว่า ถึงผมอาจจะไม่ได้มีบทบาทที่ยิ่งใหญ่อะไร แค่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งแค่นี้ก็รู้สึกดีใจมากแล้ว
นาด : ขอบคุณมากค่ะโอ๊ค คราวนี้เราก็ตามไปคุยกับนักแสดงหญิงกันบ้าง (ซึ่งกำลังทำผมอยู่) คือเอ๋ ภาวิณี สมรรคบุตร ก็อยากให้เอ๋ช่วยเล่านิดหนึ่งว่าจบที่ไหน ทำงานละครอะไรมาบ้าง
เอ๋ : จบจากปริญญาตรี เอกละครธรรมศาสตร์ โทวาทะวิทยาและสื่อสารการแสดง จากนิเทศน์ศาสตร์ จุฬา
นาด : ขอถามนิดหนึ่ง ตอนจะเรียนจบละคร ตอนนั้นทำเรื่องอะไร
เอ๋ : ทำเรื่อง Jones of Arc คือเอาเรื่องมาเขียน ทำเป็นภาพมากกว่า คือ ตอนนั้นนำเสนอด้านเทคนิค ฉาก แสง เสียง เลยเป็นงานภาพมากกว่า เป็นการจัด Composition
นาด : แล้วช่วงเรียนก็เล่นละครตลอดเลยใช่ไหม
เอ๋ : ก็เล่นละครกับที่ชั้น 8 แล้วก็มีไปช่วยงานที่มะขามป้อมบ้าง
นาด : แล้วหลังจากจบแล้ว เอ๋ทำงานอะไร หรือทำละครกับกลุ่มไหน
เอ๋ : พอจบแล้วก็ไปทำงานด้านแสงกับบริษัท ทำงาน Event ช่วงสองปีแรกหลังจบนั้นก็มีทำละครบ้าง คือทำด้าน กำกับ แต่รู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลาก็เลยหยุดไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นก็คิดว่าจะไม่ทำงานประจำแล้ว ก็กลับมาทำงานละคร ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มะขามป้อมกำลังจะทำงาน 30 ปี 14 ตุลา กำลังเตรียมละครเรื่อง เหลียวหลังแลหน้าตุลงตุลา ก็เลยได้กลับไปเล่น อ้อ ก่อนหน้านั้นก็ได้ไปเวริ์คชอปละครกับ Dan Kwang (ศิลปินอเมริกัน-จีน) ที่เชียงใหม่ แล้วกลับลงมาเล่น มันเป็นช่วงต่อกันเลย
นาด : แล้วเข้าไปเป็นสมาชิกกลุ่มละครแปดคุณแปดตั้งแต่เมื่อไหร่
เอ๋ : ตั้งแต่เทศกาลละครปีแรก ซึ่งเราเล่นละคร แล้วก็เจอพี่นิกร แล้วพอปีที่สองก็มาช่วยงานเทศกาลแล้วก็ได้คุยกันอีกครั้ง ว่าสนใจงานของพี่เขา
นาด: แล้วก็ไปเวิร์คชอป “ตัวอ่อน” รุ่นแรกๆ
เอ๋: ใช่ รุ่นที่สอง จริงๆ ต้องเป็นรุ่นที่สาม เพราะรุ่นแรก มันไม่เชิงเป็นตัวอ่อน คือ พวกพี่จุ๋ม พี่จา ซึ่งเขามาเวิร์คชอปแล้วเล่นในเรื่อง “กรุงเทพน่ารักน่าชัง”
นาด: แล้วเล่นเรื่องแรก ของแปดคูณแปด คือเรื่อง...
เอ๋: เรื่อง แม่น้ำแห่งความตาย
นาด: แล้วอยู่ในคณะนี้ ทำหน้าที่อะไรบ้าง หลากหลายไหม
เอ๋: จริงๆ แล้ว พี่นิกร ก็จะบอกไว้ว่า หลักๆ แล้วทุกคนในกลุ่มเป็นนักแสดง แต่ว่าในแต่ละโปรดักชั่น มันก็มีหน้าที่ที่ต้องแบ่งกัน ซึ่งส่วนมากก็ค่อนข้างจะ fix แหละ เป็นพวกพีอาร์ ออกแบบ นาด: แล้วเรื่องอื่นๆ กับผู้กำกับคนอื่นๆ ล่ะ มีอะไรบ้างเอ๋: ก็จะมี “เส้นด้ายแห่งความมืด” ของพี่ปุย (อ.พนิดา) “ติดกับ” ของฮีน(ศศิธร พาณิชนก) แต่ถ้ากับแปดคูณแปด ก็จะมี “สวยสู่นรก” “พระเจ้าเซ็ง” “เมาธ์” “ไร้พำนัก” ซึ่งเป็นเรื่องล่าสุดก่อนเรื่องนี้
นาด: แล้วมาทำงานเรื่องนี้ กับอ.หนุนได้ยังไง
เอ๋: พอดีได้คุยกัน แล้วก็พี่หนุน อยากทำเรื่องเพราะเขาบอกว่าเขาชอบเรื่องนี้ แล้วก็เคยเล่นสมัยเรียน ที่นี้ พี่หนุนได้มาดูละครที่เอ๋เล่นแล้วก็คิดว่าน่าจะเหมาะกับบทนี้นะ ก็เลยลองชวนมาเล่น
นาด : แล้วช่วงเรียนก็เล่นละครตลอดเลยใช่ไหม
เอ๋ : ก็เล่นละครกับที่ชั้น 8 แล้วก็มีไปช่วยงานที่มะขามป้อมบ้าง
นาด : แล้วหลังจากจบแล้ว เอ๋ทำงานอะไร หรือทำละครกับกลุ่มไหน
เอ๋ : พอจบแล้วก็ไปทำงานด้านแสงกับบริษัท ทำงาน Event ช่วงสองปีแรกหลังจบนั้นก็มีทำละครบ้าง คือทำด้าน กำกับ แต่รู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลาก็เลยหยุดไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นก็คิดว่าจะไม่ทำงานประจำแล้ว ก็กลับมาทำงานละคร ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มะขามป้อมกำลังจะทำงาน 30 ปี 14 ตุลา กำลังเตรียมละครเรื่อง เหลียวหลังแลหน้าตุลงตุลา ก็เลยได้กลับไปเล่น อ้อ ก่อนหน้านั้นก็ได้ไปเวริ์คชอปละครกับ Dan Kwang (ศิลปินอเมริกัน-จีน) ที่เชียงใหม่ แล้วกลับลงมาเล่น มันเป็นช่วงต่อกันเลย
นาด : แล้วเข้าไปเป็นสมาชิกกลุ่มละครแปดคุณแปดตั้งแต่เมื่อไหร่
เอ๋ : ตั้งแต่เทศกาลละครปีแรก ซึ่งเราเล่นละคร แล้วก็เจอพี่นิกร แล้วพอปีที่สองก็มาช่วยงานเทศกาลแล้วก็ได้คุยกันอีกครั้ง ว่าสนใจงานของพี่เขา
นาด: แล้วก็ไปเวิร์คชอป “ตัวอ่อน” รุ่นแรกๆ
เอ๋: ใช่ รุ่นที่สอง จริงๆ ต้องเป็นรุ่นที่สาม เพราะรุ่นแรก มันไม่เชิงเป็นตัวอ่อน คือ พวกพี่จุ๋ม พี่จา ซึ่งเขามาเวิร์คชอปแล้วเล่นในเรื่อง “กรุงเทพน่ารักน่าชัง”
นาด: แล้วเล่นเรื่องแรก ของแปดคูณแปด คือเรื่อง...
เอ๋: เรื่อง แม่น้ำแห่งความตาย
นาด: แล้วอยู่ในคณะนี้ ทำหน้าที่อะไรบ้าง หลากหลายไหม
เอ๋: จริงๆ แล้ว พี่นิกร ก็จะบอกไว้ว่า หลักๆ แล้วทุกคนในกลุ่มเป็นนักแสดง แต่ว่าในแต่ละโปรดักชั่น มันก็มีหน้าที่ที่ต้องแบ่งกัน ซึ่งส่วนมากก็ค่อนข้างจะ fix แหละ เป็นพวกพีอาร์ ออกแบบ นาด: แล้วเรื่องอื่นๆ กับผู้กำกับคนอื่นๆ ล่ะ มีอะไรบ้างเอ๋: ก็จะมี “เส้นด้ายแห่งความมืด” ของพี่ปุย (อ.พนิดา) “ติดกับ” ของฮีน(ศศิธร พาณิชนก) แต่ถ้ากับแปดคูณแปด ก็จะมี “สวยสู่นรก” “พระเจ้าเซ็ง” “เมาธ์” “ไร้พำนัก” ซึ่งเป็นเรื่องล่าสุดก่อนเรื่องนี้
นาด: แล้วมาทำงานเรื่องนี้ กับอ.หนุนได้ยังไง
เอ๋: พอดีได้คุยกัน แล้วก็พี่หนุน อยากทำเรื่องเพราะเขาบอกว่าเขาชอบเรื่องนี้ แล้วก็เคยเล่นสมัยเรียน ที่นี้ พี่หนุนได้มาดูละครที่เอ๋เล่นแล้วก็คิดว่าน่าจะเหมาะกับบทนี้นะ ก็เลยลองชวนมาเล่น
นาด: ตอนซ้อมเรื่องนี้ เป็นยังไงบ้าง
เอ๋: ตอนแรกๆ ก็ซ้อมแบบแยกกันนะ แล้วค่อยมาเจอกันตอนหลัง ก็สนุกดี สถานการณ์ของเรื่องก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เป็นแนวแบบสมจริง
นาด: ปัจจุบันเอ๋ ทำงานอะไร
เอ๋: ก็ทำละคร แล้วก็รับงานอิสระบ้าง มีงานสตูดิโอที่ทำเพลง แต่ว่าจริงๆแล้ว วัตถุประสงค์ก็คือ ได้ทำงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับละคร คือ ทำเพลง ทำละคร
นาด: แล้วตอนนี้ยังอยู่แปดคูณแปดอยู่ไหม
เอ๋: ยังอยู่
นาด: แล้วสำหรับละครเรื่องที่ มีอะไรที่แปลกใหม่บ้างไหม
เอ๋: ก็อาจจะเป็นเรื่องภาษา คือ มันมีส่วนที่ทำให้เราไม่พะวงกับบทมากเกินไป เราจะพะวงแค่ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าพอถึงระดับนึงแล้วก็จะไม่ได้สนใจเรื่องบทมาก แล้วก็มันเป็นเรื่องภาวะการอยู่ส่วนตัวของตัวละคร คืออยู่คนเดียว ซึ่งก็สนุกดี
นาด: แล้วงานละคร เรื่องต่อไปมีไหม หรือมีแผนไหมว่าจะทำอะไรต่อไป
เอ๋: ก็มีงานที่คิดว่าจะทำ ที่ Gossip Gallery ว่าจะกำกับเอง ก็อาจจะชวนเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน แล้วก็มีละครกับฮีน แต่ยังไม่สรุปว่าเรื่องอะไร
นาด: ละครที่จะทำเองเป็นเรื่อง หรือว่าเป็น performance
เอ๋: เป็น performance แล้วก็กับ DemoCrazy ตอนเดือนตุลา ในงานศิลปะกับสังคม
นาด: แล้วเอ๋มองตัวเองกับงานละคร แล้วคาดหวังตัวเองในอนาคตว่าอย่างไร
เอ๋: ถ้างานละครจริงๆ ก็คงจะเป็น นักแสดง คือถ้ามีประสบการณ์มากขึ้น แล้วมีเรื่องที่อยากจะถ่ายทอด ก็จะลองทำงานกำกับออกมา แต่วัตถุประสงค์ตอนนี้ก็คืออยากจะเล่นละครมากกว่า เพราะก็ยังไม่มีเรื่องที่อยากจะเล่าเอง
นาด : เราต้องขอบคุณนักแสดงหญิงของเรามาก แล้วเธอก็ได้เวลาไปเตรียมตัวแสดงแล้ว
ส่วนคราวหน้าเราจะไปพูดคุยกับทีมสาวๆจากห้องตกกระแทกหมายเลขศูนย์กันนะคะ ว่ามันเป็นห้องแบบไหนกันแน่ แล้วในห้องนั้นมันจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง โปรดกรุณาติดตาม
นาด: แล้วตอนนี้ยังอยู่แปดคูณแปดอยู่ไหม
เอ๋: ยังอยู่
นาด: แล้วสำหรับละครเรื่องที่ มีอะไรที่แปลกใหม่บ้างไหม
เอ๋: ก็อาจจะเป็นเรื่องภาษา คือ มันมีส่วนที่ทำให้เราไม่พะวงกับบทมากเกินไป เราจะพะวงแค่ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าพอถึงระดับนึงแล้วก็จะไม่ได้สนใจเรื่องบทมาก แล้วก็มันเป็นเรื่องภาวะการอยู่ส่วนตัวของตัวละคร คืออยู่คนเดียว ซึ่งก็สนุกดี
นาด: แล้วงานละคร เรื่องต่อไปมีไหม หรือมีแผนไหมว่าจะทำอะไรต่อไป
เอ๋: ก็มีงานที่คิดว่าจะทำ ที่ Gossip Gallery ว่าจะกำกับเอง ก็อาจจะชวนเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน แล้วก็มีละครกับฮีน แต่ยังไม่สรุปว่าเรื่องอะไร
นาด: ละครที่จะทำเองเป็นเรื่อง หรือว่าเป็น performance
เอ๋: เป็น performance แล้วก็กับ DemoCrazy ตอนเดือนตุลา ในงานศิลปะกับสังคม
นาด: แล้วเอ๋มองตัวเองกับงานละคร แล้วคาดหวังตัวเองในอนาคตว่าอย่างไร
เอ๋: ถ้างานละครจริงๆ ก็คงจะเป็น นักแสดง คือถ้ามีประสบการณ์มากขึ้น แล้วมีเรื่องที่อยากจะถ่ายทอด ก็จะลองทำงานกำกับออกมา แต่วัตถุประสงค์ตอนนี้ก็คืออยากจะเล่นละครมากกว่า เพราะก็ยังไม่มีเรื่องที่อยากจะเล่าเอง
นาด : เราต้องขอบคุณนักแสดงหญิงของเรามาก แล้วเธอก็ได้เวลาไปเตรียมตัวแสดงแล้ว
ส่วนคราวหน้าเราจะไปพูดคุยกับทีมสาวๆจากห้องตกกระแทกหมายเลขศูนย์กันนะคะ ว่ามันเป็นห้องแบบไหนกันแน่ แล้วในห้องนั้นมันจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง โปรดกรุณาติดตาม