welcome to crescent moon space

welcome to crescent moon space
small but beautiful small alternative space for theatre lovers

Saturday, 11 April 2009

บทสัมภาษณ์ ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์


ถึงจะผ่านไปแล้วกับละครเวทีแสดงเดี่ยวเรื่อง Hamlet มีบทสัมภาษณ์ผู้กำกับ ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ ซึ่งน่าสนใจมากเกี่ยวกับคำถามเรื่องของการดัดแปลงบทละคร เราเลยนำมาลงไว้ที่นี่ เผื่อว่าจะมีประโยชน์บ้าง


มัดมือชกดำเกิง : เขาดัดแปลงบทละครต่างประเทศกันทำไม?
ที่มาจากนิตยสาร Madam Figaro ฉบับ เดือนมีนาคม 2552
คอลัมน์ Reporter Theatre โดย อภิรักษ์ ชัยปัญหา


เหลือบมองข้อมูลผู้ดัดแปลงบทและกำกับการแสดงอีกครั้ง เขานี่เอง ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์... นักละครเวทีที่ผลงานเกือบทุกเรื่องของเขาต้องดัดแปลงจากบทละครต่างประเทศ และเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดคนหนึ่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
คำถามท่วมอกผมมากไปแล้ว..ผมจึงหาทางระบายให้ด้วยการต่อสายโทรศัพท์ถึงเขา...

ผม : ดีครับพี่บิ๊ก (ชื่อเล่นของเขา) ...ผมมีคำถามเกี่ยวกับละครของพี่แล้วก็การดัดแปลงบทละครต่างประเทศ
(เขาทำเสียงคล้ายจะปฏิเสธ..ผมรีบพูด) พี่เดี๋ยวผมจะส่งคำถามไปทางอีเมล์นะครับ ถ้ามีเวลา พี่ช่วยตอบด้วยครับ (ผมมัดมือชก)
ผ่านไปสองวัน เขาก็ตอบกลับมา หลังจากที่ผมโทรตาม (จิก) อีก 1ครั้ง
อีเมล์ฉบับนั้น ผมคิดเองว่ามันมีประโยชน์มาก มากเสียจนผมเก็บไว้อ่านคนเดียวก็เสียดาย
ฉบับนี้ผมเลยขออนุญาตนำมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ

ผมถาม : ทำไมถึงเลือกสร้างละครเวทีจากการดัดแปลงบทแทนที่จะเขียนขึ้นใหม่ครับ
เขาตอบ : อย่างแรก เพราะขี้เกียจเขียนครับ ในมื่อโลกนี้มีบทละครเรื่องที่แข็งแรงดีและน่าสนใจอยู่แล้วมากมาย ทำไมต้องมานั่งเสียเวลาเขียนใหม่ให้เมื่อยล่ะ เราอยากทำละคร ไม่ได้อยากเขียนบทใหม่ ก็เลยคิดว่าชอบการดัดแปลงมากกว่า แต่ การดัดแปลงบทเรื่องนึงของผม มันก็เหมือนเขียนใหม่นั่นแหละ อิอิ (เขาหัวเราะด้วยภาษาวัยรุ่น)
ผมถาม : มีเกณฑ์ในการเลือกบทละครต่างประเทศมาดัดแปลงและสร้างเป็นละคร อย่างไรบ้างครับ
เขาตอบ : เลือกที่ตัวเองชอบก่อน หรืออย่างน้อยก็ต้องมีอะไรที่น่าสนใจพอเอามาคิดต่อทำต่อได้ มีอะไรที่สอดคล้องกับความคิดที่อยากพูด เหมาะสมกับยุคสมัยและวาระที่จัดแสดงด้วย ที่สำคัญมันต้องสนุก เห็นแนวทางที่สามารถดัดแปลงได้ มีจุดขาย หรือมีองค์ประกอบที่สามารถทำให้เป็นวาระที่น่าสนใจขึ้นมาได้ ทั้งนี้ก็แล้วแต่เหตุผลหรือวัตถุประสงค์ในการทำแต่ละครั้งด้วยนะว่าทำเรื่องอะไร เพื่ออะไร บางครั้งก็ดูหน้านักแสดงที่มีอยู่ก่อนว่าใครจะมาเล่นบ้าง ดูทรัพยากรในการสร้างว่ามีทุนแค่ไหน หรือเหมาะกับความสามารถของคนในกลุ่มมั้ย ดูสถานที่แสดงว่าได้เล่นที่ไหน ฯลฯ แล้วก็จะนึกเรื่องออกทันที โดยเฉพาะช่วงสิบปีมานี้ ลองเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ไม่เอากิเลสส่วนตัวว่าฉันอยากทำเรื่องนี้เรื่องนั้นเป็นตัวตั้ง ไม่อยากตกอยู่ในสภาพแบบทุกข์ยากแบบคนทำละครที่พยายามตามที่บทละครสั่ง มันเหนื่อยยากเกินความจำเป็น แล้วก็ยังไม่เคยเห็นใครทำได้ซักราย
ผมถาม : มีผลงานการดัดแปลงบทละคร เรื่องไหนบ้าง ที่รู้สึกภาคภูมิใจ เพราะอะไร
เขาตอบ : คงทุกเรื่องนั่นแหละ แต่ถ้าเอาที่ชอบมาก ๆ ก็คงมี “ราโชมอนคอนโดมิเนียม” (ดัดแปลงจากบทภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่ของอาคีระ คูโรซาวา และบทละครแปลของ ม.ร.ว. คึกฤทธ์ ปราโมช) กับ “ผ่าผิวน้ำ” (ดัดแปลงจากอัตชีวประวัติของ Greg Louganis นักกีฬาว่ายน้ำเจ้าของเหรียญของโอลิมปิค) เพราะรู้สึกว่าได้ทำอะไรกับมันเต็มที่ มันเป็นการดัดแปลงที่ใช้กลวิธีที่ มากกว่าการเปลี่ยนเทศให้เป็นไทย แล้วมันก็ออกมาได้ดังใจที่ต้องการด้วย
ผมถาม : "การเคารพบทประพันธ์" เกี่ยวข้องกับการดัดแปลงบทละครไหมครับ
เขาตอบ : ฮ่าๆๆ ....เขาบอกว่าบทละครเป็นเสมือนหัวใจของการแสดงหรือพิมพ์เขียวของการสร้างละคร แล้วมีผู้เอาไปทำตามที่เขียนสั่งมาในบทนั้น แต่เผอิญคนอย่างผมคงเติบโตมาในขนบ “ละครของผู้กำกับ” ไม่ใช่ในขนบ “ละครของนักเขียน” แล้วผมก็เจอครูหลายคนที่ชี้นำให้เห็นโลกหลายทางแล้วยุยงให้ลูกศิษย์คิดเกินครูด้วย ผมถือว่าตัวเองไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาแบกรับภาระทางวิชาการหรือประวัติศาสตร์การละครที่ต้องทำละครให้ตรงตามต้นฉบับให้มากที่สุด ผมเคยเห็นบทแย่ ๆ ที่สามารถกลายมาเป็นการแสดงดี ๆ ในจำนวนที่พอ ๆ กับบทดี ๆ ที่กลายมาเป็นการแสดงเลว ๆ ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าบทจะต้องเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องบูชามั้ง ผมปฏิบัติต่อบทละครในฐานะ “บันทึกการแสดง” ที่ทำให้ทุกฝ่ายทำงานได้สะดวกขึ้นเท่านั้น ผลรวมของการแสดง ณ เวลานั้น ๆ ต่างหากที่สำคัญ ผมถือว่าบทเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับหลอดไฟที่ทำให้เรามองเห็นการแสดง บทมีความสำคัญพอ ๆ กับเครื่องประกอบฉากและสัญญะทั้งหลายที่ประกอบกันเป็นละคร แต่ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าไม่เคารพบทละครซะเลยนะ คงใช้คำว่านับถือจะเหมาะสมกว่าเพราะถ้าผมหยิบเรื่องอะไรมาดัดแปลงแสดงว่าเรื่องนั้นก็ต้องมีดี และมีความใจกว้างพอสมควรที่เปิดช่องให้ผมตีความและดัดแปลงได้ ผมต้องเข้าใจต้นฉบับอันเดิมให้ได้มากที่สุดก่อนเหมือนกัน ถึงจะสามารถเชื่อมโยงผ่านตัวเองไปสู่วิธีการดัดแปลงได้ ผมถือว่าสิทธิ์ของผู้กำกับไม่ได้จำกัดอยู่ที่การเป็นผู้รับใช้ผู้ซื่อสัตย์ต่อบทละครเท่านั้น แต่ต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองและซื่อสัตย์ต่อผู้ชมด้วย สิ่งที่ผู้ชมจะเห็นในตัวบท น่าจะเป็นการแสดงที่ผ่านการกลั่นกรองจากคนทำอีกทอดหนึ่ง
ผมถาม : คิดอย่างไรกับคำว่า "เสียงของผู้กำกับการแสดงครับ" เช่นกัน เกี่ยวข้องกับงานของพี่หรือเปล่าครับ
เขาตอบ : ไม่เคยคิดเลยครับ ถ้ามันจะมี ก็คงไม่มาแค่เสียงหรอกครับ มันคงมาทั้งตัวเลย ฮ่าๆๆๆ
ผมถาม : มาถึงผลงานชิ้นล่าสุด ทำไมต้องแฮมเล็ต และทำไมต้องแสดงเดี่ยวโดย อ้น นพพันธ์ บุญใหญ่ ครับ
เขาตอบ : เป็นเรื่องหนึ่งที่อยากทำ และได้คิดวิธีทำแฮมเล็ตไว้สามแบบสามขั้นตอน การแสดงเดี่ยวเป็นแบบแรกและขั้นตอนแรกของการทำละครเรื่องนี้ ที่เป็นอ้นเพราะว่าเค้าดูพยศดี อิอิ (ดูเหมือนเขาจะชอบหัวเราะแบบวัยรุ่นมาก) เป็นแฮมเล็ตในฝันของผมทั้งตัว เค้ามีความพร้อมที่จะทำงานแบบทดลองได้ (ว่ากันว่า นพพันธ์เป็นทั้งผู้กำกับการแสดง ผู้เขียนบท และนักแสดงที่แหวกแนวที่สุดของวงการละครเวที และแฟนคลับมากที่สุดคนหนึ่ง ณ ขณะนี้)
ผมถาม : เรื่องที่อยากทำต่อไปมีหรือยังครับ
เขาตอบ : เยอะแยะ คนใกล้ ๆ ตัวจะรู้ดี มันขึ้นอยู่กับโอกาสและความเหมาะสมด้วย แต่ถ้าให้เจาะจงว่าในระยะเวลาใกล้ ๆ นี้จะทำอะไรบ้าง ก็คงเป็นเรื่องในแนวที่ค่อนข้างไปในทางดราม่าครับ อย่าง The Seagull ของ Chekhov นอกจากนี้ก็อาจจะเป็นงานละครแนว Physical Theatre ซึ่งไม่ได้ทำมานานแล้วนับตั้งแต่ทำ The Metamorphosis และ Faust หรือไม่ก็งานดัดแปลงเชิงทดลองแบบเอาตัวละครจากบทละครที่เราชอบของนักเขียนคนเดียวกันให้มันข้ามเรื่องมาเจอกัน

ผมสะดุดใจกับข้อความต่อไปนี้มากเป็นพิเศษ มันอาจจะเป็นเคล็ดลับในการดัดแปลงบทละครของดำเกิงก็ได้

“ที่จริงวิธีการดัดแปลงมันมีมากมาย ขึ้นอยู่กับว่า เราหาไวยากรณ์ของการดัดแปลงเจอแล้วกล้าทำหรือเปล่าเท่านั้น”


No comments: