welcome to crescent moon space

welcome to crescent moon space
small but beautiful small alternative space for theatre lovers

Friday, 25 July 2008

จากผู้กำกับการแสดงละครเวทีเรื่อง "คอย ก.ด."

เขียนโดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
ภาพถ่ายโดย ทวิทธิ์ เกษประไพ และ ภูมิฐาน ศรีนาค




เหตุผลหนึ่งที่ผมเลือก “Waiting for Godot” ขึ้นมาทำเป็น “คอย ก.ด.” ในครั้งนี้ เกิดจากความต้องการที่อยากจะเห็นบทละครที่ตนเองอ่านครั้งแรกแล้วสนุก (ถึงแม้จะไม่รู้เรื่อง) ได้ออกมาเป็นการแสดงในลักษณะที่แตกต่างออกไปจากละครเวที “คอยโกโดต์” ทุกเวอร์ชั่นที่ผมเคยดูมาในชีวิต ประการหนึ่งก็อาจมีสาเหตุจากการที่ผมไม่เข้าใจว่า


ทำไมบทละครเรื่องนี้...ทุกครั้งเมื่อกลายเป็นละครเวทีแล้วมันมักจะออกมาในลักษณะที่เครียดขึ้ง อึมครึม ลักลั่น ดูไม่รู้เรื่อง น่าเบื่อน่ารำคาญ แถมชวนหลับและท้าทายให้ด่าทอต่อเมื่อตื่นเป็นอย่างยิ่ง ถ้าจะอ้างว่านั่นคือสไตล์เฉพาะทาง หรือจะเป็นวัตถุประสงค์ชนิดหนึ่งของละครแนวนี้ที่พยายามจะแสดงให้เห็นความจริงของโลกด้วยการก่อกวนคนดูด้วยวิธีการต่าง ๆ นานาแล้วละก็...สำหรับส่วนตัวผมเองก็คงไม่สามารถปักใจเชื่อได้ง่าย ๆ นัก ด้วยเพราะนับตั้งแต่โลกใบนี้มีละครสนุก ๆ ที่อุดมไปด้วยเนื้อหาสาระที่มีคุณค่าเข้มข้นอยู่มากมาย แถมผู้ชมสามารถดูได้อย่างรู้เรื่องสบายใจ...


แล้วละครบ้า ๆ เรื่องนี้จะสนุก ดูง่าย ๆ และคนดูมีความสบายใจบ้างไม่ได้เชียวหรือ ผมมีความเชื่อส่วนตัวแบบง่าย ๆ ที่อาจจะออกเชยอยู่บ้างอีกอย่างหนึ่งว่า นอกเหนือจากความบันเทิงซึ่งน่าจะเป็นสิทธิพื้นฐานที่เราควรจะได้จากการรับชมละครเรื่องหนึ่ง ๆ แล้ว ทางด้านเนื้อหาสาระ...ละครที่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่า “สร้างสรรค์” นั้น ก็ควรจะมีคุณลักษณะที่เป็นไปใน “ทางสว่าง” ได้ด้วย นั่นคือ ถ้าหากเป็นละครที่มุ่งแสดงความจริงใด ๆ ของมนุษย์บนโลกใบนี้แล้วละก็...ละครก็ควรจะเสนอทางออกสำหรับผู้ชมบ้าง หรือถ้าหากไม่มีทางออกเลย ละครก็ควรทำให้คนดูตระหนักถึงความจริงนั้น ๆ แล้วกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง (ไม่ว่าในแง่ความคิดหรือการกระทำ และ/หรือ ในขณะนั้นหรือในเวลาต่อมา) ไม่ใช่มุ่งแต่สะท้อนเป็นความจริงอันโหดร้ายลี้ลับสับสนที่ยิ่งพาให้คนเราปลงตก ตกอยู่ในสภาพยอมรับ แช่นิ่ง แล้วก็จ่อมจมลงไปกับความทุกข์อันดำมืดมากขึ้นทุกที ๆ ซึ่งอย่างนี้ผมไม่อยากเรียกว่าเป็นละครที่สร้างสรรค์มากนัก โชคร้ายไปหน่อยที่ “คอยโกโดต์” แบบที่ผมเคยดูมาดันมีคุณสมบัติเช่นนั้นครบทุกประการ ต่อให้ใครต่อใครยกย่องกล่าวขานว่านี่เป็นวิธีการนำเสนอละครอภิมหาปรัชญาชั้นยอดระดับโลกก็ตามทีเถอะ ดังนั้น “การขอมองโลกในแง่ดี(บ้าง)” คือที่มาของการตัดสินใจทดลองเปลี่ยนแปลงบางอย่างในบทละครเรื่องนี้


อย่างแรก...ผมเลือกนักแสดงหญิง 4 คนให้มารับบทตัวละครเรื่องนี้แทนผู้ชายเพื่อจะดูว่าทิศทางของบทดั้งเดิมที่ดูเผิน ๆ เหมือนจะมีความ “ใจกว้าง” ให้ผู้คนตีความได้อย่างอิสระนั้น จะสามารถปลดปล่อย “เงื่อนตาย” ที่ถูกผู้เขียนผูกวางไว้อย่างแยบยลได้ทางใดบ้าง อย่างต่อไป...


ผมขอเลือกที่จะประนีประนอมกับตัวเอง รวมทั้งกับคนดูที่ร่วมกาลเวลาและสถานที่กับผม ด้วยการทำละครเรื่องนี้ให้เบาสบายมากขึ้นเท่าที่จะทำได้ ในเมื่อตั้งแต่เปิดฉากมาละครเรื่องนี้โหดร้ายทารุณมากพอดูอยู่แล้ว มากพอที่จะทำให้ตัวละครต้องแสวงหาทางออกด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ตนเองหนีพ้นจากห้วงทุกข์ในขณะรอคอย ผมจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้อง “ขยี้” หรือย้ำในจุดนี้แล้วหยิบยื่นรสชาติแห่งความทรมานให้ผู้ชมเกิดความกระอักกระอ่วนมากกว่านี้อีกต่อไป


ผมจึงขอตัดบทที่มีความยาวและลีลาวกวนกวนโทสะ รวมทั้งประเด็นบางอย่างที่ไกลตัวคนไทยส่วนใหญ่ออกไปซะ แล้วหาสัญญะใหม่บางอย่างมาแทนที่ของเดิม รวมทั้งใช้องค์ประกอบทางภาพและเสียงมาแทนที่ช่วงต่าง ๆ ที่ตัวละครมีการทำซ้ำด้วย ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เองที่ผมขอเหมาตั้งสมมุติฐานเองเอาว่า สามารถจะทำให้เรื่องนี้เบาสบายขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง และอาจจะนำไปสู่การเลือกประเด็นการตีความที่ผู้ชมน่าจะดูรู้เรื่องขึ้นผมขอใช้คำกล่าวของเบ็กเก็ตต์ที่ว่า “เรื่องนี้ไม่มีอะไรมาก นอกจากเป็นแบบจำลองของระบบนิเวศน์เท่านั้น”

ผมจึงไม่คิดแบบดิ่งลงด้านลึกมากจนเกินไป แต่ขอกลับไปมุ่งเน้นให้ตัวละครแสดงพฤติกรรมและความคิดเห็นขณะตกอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ แทน ซึ่งในที่นี้ผมขอเล่นกับเรื่องของ “ความเปลี่ยนแปลง” ของตัวละครที่อาจเกิดขึ้นได้ในขณะที่พวกเขาจำต้องรอคอยซ้ำแล้วซ้ำอีก และนี่อาจเป็นการ “ทำตรงข้าม” กับลักษณะของละครแอบเสิร์ดในข้อที่ว่าตัวละครไม่มีการพัฒนาก็ได้ นอกจากนี้ผมยังทดลองคิดต่อไปอีกว่า ถ้าหากมนุษย์มีปัญญาเรียนรู้แล้วไซร้ อะไรบ้างที่ตัวละครจะสามารถคิดและทำได้ ในเมื่อ(แบบจำลอง)ชีวิตนี้(ที่เบ็กเก็ตต์เขียนมา) ไม่ได้ให้ความกระจ่างของทางสว่างไว้ อีกทั้งการรอคอยด้วยความหวังมันอาจเป็นเรื่องไร้สาระ บางทีการที่มนุษย์รู้จักเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลง อาจเป็นวิธีการแสวงการหาความหมายของชีวิตที่ดีที่สุดก็ได้กระมัง


ทั้งหมดที่กล่าวมาคือส่วนหนึ่งของการทำ “คอย ก.ด.” ฉบับที่ท่านจะได้รับชมในขณะนี้ ส่วนที่ว่าในตอนจบมันจะเป็นไปในทิศทางใดนั้น จะคอยดีหรือไม่คอยดี คอยดูกันเอาเองก็แล้วกันครับ

โดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
narawichaya@hotmail.com
ปล.
คุณ ก.ด.ครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ผมอยากบอกว่าชีวิตมนุษย์บนโลกนี้สั้นนัก แต่ถึงกระนั้นตอนนี้เราสามารถไปนอกโลกกันได้แล้ว เพราะอะไรหรือครับ อิอิ ฯลฯ วันนี้แค่นี้ก่อนก็ละกัน สวัสดี



Thursday, 24 July 2008

เกี่ยวกับละครแอบเสริ์ด



ละครแอบเสิร์ด (Absurd)


หากจะเทียบกับงานศิลปะแขนงอื่น ละครแนวนี้ก็คงจะคล้ายกับศิลปะในแนวนามธรรม (Abstract) ซึ่งผู้ชมหลายคนอาจยังไม่คุ้นเคยหรือชื่นชอบงานศิลปะในแนวที่ซับซ้อนและเข้าใจยากเช่นนี้มากนัก ละครแนวนี้เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในเวลาไล่เลี่ยกับการเกิดศิลปะลัทธิ Surrealism และ DADA ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นศิลปะที่สะท้อนชีวิตมนุษย์ที่ไร้สมรรถภาพในการดำรงชีวิตอยู่ เป็นภาพอันไม่สมประกอบของมนุษย์ เนื้อหาของละครประเภทนี้มักเป็นการประชดเสียดสีสังคม พูดถึงความไร้สาระของมนุษย์ที่พยายามกำหนดความหมายหรือคุณค่าให้แก่สิ่งต่าง ๆ รวมทั้งแก่ตนเอง


บทละครมักจะเล่าถึงสถานการณ์หรือเหตุการณ์มากกว่าจะมุ่งเล่าเรื่องราว ไม่มีการเดินเรื่องหรือพัฒนาการที่เกิดจากเหตุและผลเหมือนละครทั่ว ๆ ไป ซึ่งรวมไปถึงตัวละครต่าง ๆ ที่มักจะมีลักษณะนิ่งคงที่ มีบุคลิกที่เด่นชัด และไม่มีการพัฒนาตั้งแต่ต้นจนจบส่วนในด้านรูปแบบ ภาพที่ปรากฏสู่สายตามักจะถูกทำให้เป็นสื่อที่ชี้นำความคิดในลักษณะเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic) หรือเปรียบเทียบอุปมาอุปมัย (Metaphorical) รวมทั้งนำเสนอออกมาด้วยภาษาที่ง่าย ๆ และไม่ค่อยต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน ละครแอบเสิร์ดถือว่าภาษาเป็นอุปสรรคของการสื่อสาร และไม่ช่วยทำให้มนุษย์เข้าใจกันและกัน การแสดงจึงมักจะเป็นไปในลักษณะตลกขบขัน แต่ในความตลกขบขันนั้นมักมีสิ่งชวนให้เคลือบแคลงอยู่เสมอ อันเป็นความจริงที่น่าพะวงสงสัยเหมือนกับในชีวิตจริงของมนุษย์นั่นเอง


ข้อมูลจาก : สูจิบัตรละครเวทีเรื่อง คอย ก.ด.


Wednesday, 16 July 2008

วอร์มอัพก่อนชม "คอย ก.ด."


จาก "คอยโกโดต์" ก่อนจะไปถึง "คอย ก.ด."
: แนะนำเรื่องเดิมก่อนจะไปดู


Waiting for Godot
บทกล่าวนำโดย ปานรัตน กริชชาญชัย

Waiting for Godot เป็นบทละครชิ้นเอกของ Samuel Beckett ได้รับการยกย่องว่าเป็นบทละครที่โดดเด่นที่สุดเรื่องหนึ่งของศตวรรษที่ 20 เนื้อเรื่องมีสององก์ด้วยกัน กล่าวถึงตัวละครหลักสองตัว คือVladimir และEstragon ที่มารอคอยคนชื่อ Godot ในระหว่างที่รอพวกเขาทั้งสองก็พยายามหาอะไรทำไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นหาของกิน นอนหลับ คุย ทะเลาะ ร้องเพลง เล่นเกม หรือแม้กระทั่งคิดฆ่าตัวตาย ระหว่างรอ Pozzo และ Lucky ได้เดินทางผ่านมา และมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจนถึงตอนจบได้มีเด็กชายคนหนึ่งนำความมาบอกว่าวันนี้ Godot จะไม่มาแต่จะมาพรุ่งนี้แน่นอน ส่วนองก์ที่สอง เป็นเรื่องราวของวันต่อมา ทั้งคู่ยังคงมารอเหมือนเดิม Estragon จำเรื่องราวของเมื่อวานไม่ได้เลย Vladimir จึงพยายามรื้อฟื้นความทรงจำให้เขาด้วยวิธีต่างๆ


Pozzo และ Lucky กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ Pozzo ตาบอด ส่วน Lucky เป็นใบ้ เมื่อทั้งคู่จากไป เด็กชายคนเดิมก็เข้ามาบอกว่า วันนี้ Godot จะไม่มา Vladimir และEstragon ตัดสินใจว่าจะแขวนคอตาย แต่ทำไม่สำเร็จ เขาจึงปรึกษากันใหม่ว่าจะมาแขวนคอวันพรุ่งนี้ถ้าหาก Godot ไม่มาอีก ทั้งคู่ตกลงจะไป แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครขยับเขยื้อนเลย


มีการตีความประเด็นของเรื่องออกมาหลากหลาย เช่น เรื่องศาสนา ปรัชญา จิตวิทยา การเมือง สงคราม รวมถึงมุมมองที่เกี่ยวกับสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่ง ๆ ต้องประสบพบเจอในชีวิตอีกด้วย จากประเด็นหลังนี้จึงมีผู้ให้คำนิยามบทละครเรื่องนี้ว่าเป็น ‘Tragicomedy’ เนื่องจากในเรื่องตัวละครทุกตัวต้องเผชิญกับทั้งเรื่องดีและร้าย อาทิ การถูกกดขี่ ความล้มเหลว ความโศกเศร้า มิตรภาพ และความหวัง


อีกประเด็นที่มีผู้กล่าวถึงมากที่สุดก็น่าจะเป็นประเด็นเของแนวความคิด Existentialism ซึ่งเชื่อว่าชีวิตคนเรานั้นยากเย็นแสนเข็ญ ไร้ซึ่งจุดหมาย ดังนั้นมนุษย์เราควรจะต้องเป็นคนกำหนดชีวิต และคุณค่าของตัวเองเพื่อความอยู่รอด ไม่มีเทวดาฟ้าดินที่ไหนมาลิขิต หรือช่วยเราได้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อสรุปชี้ชัดว่าเรื่องราวในละครต้องการจะสื่ออะไร ส่วนตัว Beckett เองเคยกล่าวไว้สั้น ๆ ว่าเหตุใดจึงต้องไปคิดให้ซับซ้อน ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันคือเรื่องของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตพวกหนึ่งที่มาอยู่ร่วมกัน และเกิดการพึ่งพาอาศัย จุนเจือซึ่งกันและกันเท่านั้น ทุกสิ่งที่ปรากฏคือเกมที่คนเรามีต่อกัน แต่เขาก็ยอมรับว่าการที่มีผู้พยายามตีความออกมาหลายประเด็นเช่นนี้เองที่ทำให้บทละครเรื่องนี้เปิดกว้างซึ่งถือเป็นจุดเด่นและเป็นเหตุผลของความสำเร็จตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

Sunday, 13 July 2008

คอย ก.ด.


พระจันทร์เสี้ยวการละคร และ New Theatre Society
เสนอ

การรอคอยของ...
สินีนาฏ เกษประไพ
จารุนันท์ พันธ์ชาติ
สุมณฑา สวนผลรัตน์
ฟารีดา จิราพันธุ์


ใน... ละครแอ๊บแบ๊ว..เล่นไป..ร้องไป..คอยไป..


"คอย ก.ด."

สืบเนื่องมาจากบทเรื่องนั้นของซามูเอล เบ็กเก็ตต์
ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ กำกับการแสดง


22 กรกฎาคม ถึง 3 สิงหาคม 2551
ณ Crescent Moon Space สถาบันปรีดี พนมยงค์
รอคอยทุกคืนเวลา 19.30 น. เว้นคืนวันจันทร์


บัตรการรอคอยราคา 300 บาท (นักเรียน,นักศึกษา ป.ครี 250 บาท)



สำรองที่นั่งคอยได้ที่โทร 086 787 7155


รับผู้ชมเพียง 30 คนต่อรอบเท่านั้น

พูดคุยกับนักแสดงและผู้กำกับ "รักบังตา"

แม้จะผ่านไปแล้ว และเราก็ยุ่งจนไม่สามารถโพสต์ได้ตามตั้งใจไว้
แต่เราจะพยายาม

โปรดติดตามในวันสองวันนี้

Tuesday, 1 July 2008

อีกครั้งกับเรื่องความรัก

เรื่องรักที่อาจฟังคุ้นหู ดูคุ้นตา และอาจคุ้นใจ

"รักบังตา"

นักแสดง
เกรียงไกร ฟูเกษม จากผลงานเรื่องล่าสุด ผ่าผิวน้ำ
ภาวิณี สมรรคบุตร จากผลงานเรื่องล่าสุด The Mind Game
เพียงไพฑูรย์ สาตราวาหะ เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ สะพานความมายเลิฟ
และ
จิรายุทธ ชัยเชียงเอม นักแสดงภาพยนตร์และละครโทรทัศน์


บางส่วนจาก Director Note:

ละครคือการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง เป็นการสื่อสารจากผู้หนึ่งผ่านบทละครและการแสดงไปสู่ผู้หนึ่งหรือกลุ่มคนหนึ่ง
ละครเรื่องรักบังตาก็เช่นกัน เนื่องจากในสังคมปัจจุบันที่มีแต่ความตรึงเครียดจนทำให้หลายคนเจอกับปัญหาและไม่มีทางออก
ทั้งปัญหาส่วนตัวและความรัก


เมื่อปัญหามาปิดบังทางออก คนเหล่านั้นมักคิดว่ามีตัวคนเดียวอยู่ในโลก ไม่มีใครเข้าใจ

ละครเรื่องรักบังตาจึงเพียงแค่ต้องการอยากจะบอกอยากให้กำลังใจผู้ที่กำลังมีปัญหาให้ลืมตาขึ้นมามอง
ก็จะเห็นว่ามีคนอีกมากมายที่อยู่รอบตัวเรา แต่ถ้าหากหลับตาแล้วจะเห็นใครได้อีกแม้แต่ตัวเอง

Thursday, 26 June 2008

4 นักแสดง ใน "รักบังตา"


แสดงโดย

เกรียงไกร ฟูเกษม

ภาวิณี สมรรคบุตร
เพียงไพฑูรย์ สาตราวาหะ
และ
จิรายุทธ ชัยเชียงเอม

Monday, 16 June 2008

รักบังตา


เมื่อดวงใจมีรัก แต่กลับกลายเป็น รักบังตา
พระจันทร์เสี้ยวการละคร เสนอ

"รักบังตา" (Love Invisible)


ไม่สำคัญจะเห็นว่ารักหรือไม่เพราะใจได้รู้ว่ารักแล้ว
รัก เป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจ แต่อาจเป็นจุดจบของบางเรื่องราวเพราะ...


รัก ไม่ได้เกิดกับคนทุกคน แต่คนส่วนใหญ่ต้องการมัน
รัก ไม่ตอบรับกับคนทุกคน แต่มีเพียงแค่บางคนที่ได้รับ
รัก ไม่สมหวังกับคนทุกคน แต่คนบางก็วิ่งไล่ตาม

มุมมองเรื่องรักของใครบางคนที่หัวใจไม่ไร้รัก


เขียนบท กวินธร แสงสาคร และ สินีนาฏ เกษประไพ
กำกับโดย กวินธร แสงสาคร

วันเวลาแสดง
27,28,29 มิถุนายน 2551

4,5,6 กรกฎาคม 2551
รอบเวลา 19.30 น. / เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มรอบ 14.30 น.
(รวม 10 รอบ)

แสดงที่ ละครโรงเล็ก Crescent Moon Space
อยู่ในอาคาร สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่ออ (ลงสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ)


บัตรราคา 250 บาท (นักเรียน,นักศึกษา 200 บาท)

ติดต่อสอบถามที่ 081 259 6906 และ 081 612 4769


Thursday, 5 June 2008

พูดคุยกับสาวๆจากห้องตกกระแทกหมายเลขศูนย์




พูดคุยกับผู้หญิง 4 คน จากห้องตกกระแทกหมายเลขศูนย์
ถามและถ่ายภาพโดย สินีนาฏ เกษประไพ



ห้องตกกระแทกหมายเลขศูนย์ หรือ The Room no.O เป็นผลงานเรื่องใหม่ของกลุ่มบีฟลอร์ ที่มาแสดงที่ละครโรงเล็ก Crescent Moon Space อาทิตย์นี้และอาทิตย์หน้ากำกับโดย จารุนันท์ พันธชาติ และ ธีระวัฒน์ มุลวิไล แสดงโดยสาวๆสี่คน ซึ่งเรากำลังตามมาพูดคุยทำความรู้จักกันทีละคนตามนี้

นาด : เริ่มจากน้องเล็กที่สุดก่อน คือ น้องมินท์ ช่วยแนะนำตัวหน่อย
มินท์ : ชื่อ มีนา จงไพบูลย์
นาด : ตอนนี้มินท์ยังเรียนอยู่ใช่ไหม เรียนอะไร ที่ไหน
มินท์ :
มินท์เรียนปี 2 ที่สวนสุนันทา คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกศิลปะการแสดง
นาด : ก็แสดงว่าทำละคร หรือเล่นละครกับที่คณะบ้างแล้วใช่ไหม
มินท์ :
ค่ะ แต่ก่อนหน้าที่จะเข้ามาเรียนที่สวนสุนันทาก็ได้เล่นบุโตกับพี่โกะ (โซโนโกะ พราว) มาแล้ว เริ่มแสดงมาตั้งแต่อยู่ ม.3 ชิ้นแรกน่าจะเป็นแสดงที่เทศกาลละคร แต่ปีไหนก็จำไม่ได้แล้ว แล้วก็มีมาเรื่อยๆ เช่น งานอาร์ทมาร์เก็ต แล้วเมื่อเดือนก่อนโน้นก็ได้ไปเวริ์คชอป B Fest 2008 กับ B Floor แล้วพี่จาก็เลยชวน ก็เลยลองดู อยากเปิดโลกทัศน์ของตัวเอง อยากเล่นกับหลายๆกลุ่ม แล้วได้เล่นกับพี่ๆที่มีประสบการณ์มากกว่า
นาด : แล้วจากงาน B Fest 2008 และงานชิ้นนี้ ได้เจออะไรบ้าง
มินท์ : ที่ไปเวริ์คชอปที่พี่คาเงะสอนนี่ก็ได้ประโยชน์เยอะมาก ได้เคยทำแบบฝึกหัดที่ไม่เคยเจอไม่เคยทำ คือ หนูเริ่มเล่นละครโดยไม่ได้เรียน เพราะพี่ชวนไปทำก็ไปทำ ให้ซ้อมก็ซ้อม ก็ให้ได้เท่าที่มี เลยไม่ค่อยรู้อะไรมาก ไม่เคยรู้พื้นฐาน แล้วก็ได้มาเข้าเรียนที่สวนสุนันทาก็เพิ่งได้เริ่มเรียนไม่มาก
นาด : งั้นถามถึงการซ้อมงานชิ้นนี้เลย ห้องตกกระแทก หรือการร่วมงานครั้งแรกกับบีฟลอร์แบบเต็มๆเป็นยังไงบ้าง เจออะไรใหม่ๆบ้างไหม หรือชอบอะไร ประทับใจอะไรบ้างไหม หรืออะไรที่เราอยากพูดถึงบ้าง
มินท์ :
ที่อยากพูดถึงคือ วิธีคิดงานของพี่ๆ ก็แปลกดี
นาด : แปลกยังไง
มิ้นท์ : ก็ มันไม่เหมือนที่เคยเจอ หนูคิดว่ามันไม่น่าจะเหมือนละครอย่างอื่นน่ะค่ะ ที่แบบพอผู้กำกับมาถึงก็บอก คุณทำแบบนี้ๆ แต่อันนี้เรามาหา หาด้วยกันน่ะค่ะ คือหาการแสดงชิ้นนี้ด้วยกัน
นาด : แสดงว่ามินท์ไม่เคยแสดงละครพูดเลยเหรอ
มิ้นท์ : ค่ะ ตั้งแต่เล่นมายังไม่เคยเล่นละครพูด แต่ของในมหาลัยเคยเล่นละครเด็กเรื่องหนึ่ง
นาด : งั้นขอถามย้อนหลังอีกข้อว่า แล้วมาเจอบีฟลอร์ได้ยังไง ใครแนะนำมา หรือว่าเห็นเอง
มินท์ :
ก็เห็นเองด้วย แล้วพี่ก็บอกด้วย คือได้รับเมล์ข่าวค่ะ
นาด : แล้วทำไมมินท์ถึงชอบการแสดงหรือละคร เพราะอะไร
มินท์ : ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) อันนี้หนูไม่รู้ เหมือนกันว่าทำไมชอบ รู้แต่ว่าถ้าให้หนูไปเรียนเลข เรียนบัญชี หนูเรียนไม่ได้ หนูไม่เรียนน่ะ ก็ไม่รู้ หรืออาจเป็นเพราะหนูชอบทำกิจกรรม แล้วก็รู้สึกว่าละครมันมีอะไรหลายอย่าง เราเป็นได้ทุกตัวที่เราอยากจะเป็น แล้วเราก็ทำได้
นาด : เอาล่ะ คำถามสุดท้าย ถ้าให้พูดถึงห้องตกกระแทก มันคือห้องอะไรห้องแบบไหนในมุมมองของมินท์เอง
มินท์ : โอ้โห...(ลากเสียงยาว)
นาด : ห้องนี้มันคืออะไร
มินท์ : มันก็คือห้องห้องหนึ่งที่คนมาอยู่รวมกันแต่ต่างความคิด เพราะแต่ละคนก็มีความคิดของเขา แต่เอาความคิดนั้นมารวมกันให้เป็นห้องห้องหนึ่ง ก็เหมือนเราเอาบล๊อคสี่เหลี่ยมมาต่อต่อกันให้มันเป็นสี่เหลี่ยมอันใหญ่ ค่ะแค่นี้ล่ะค่ะ

นาด : เอาล่ะขอบคุณน้องมินท์มาก คราวนี้เราก็มาคุยกับอีกหนึ่งสาว คือ ปูเป้ นี่ก็เป็นการร่วมงานครั้งแรกกับบีฟลอร์ ถ้าไม่รวมงานบีเฟส อยากให้ปูเป้แนะนำตัวเองหน่อย
ปูเป้ : ปูเป้ค่ะ ชื่อจริง ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์ เป้จบจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬา เอกภาษาอังกฤษ แต่ว่าตอนเรียนอยู่เนี่ยตอนปี 3 ได้ไป audition ละครเวทีของอักษร
นาด : เป็นละครเรื่องแรกของปูเป้รึเปล่า
ปู้เป้ : จริงๆแล้วละครเรื่องแรกเลยเป็นละครในงานจุฬาวิชาการ เป็นละครภาษาอังกฤษ ชื่อเรื่อง Love Me Divide เป็นเรื่องของคิวปิดกับไซคี แต่ที่เล่นเรื่องแรกที่ภาคคือเรื่อง ตาดูหูชิม เป็นแบบมิวสิคัลรีวิว แล้วก็เล่นเรื่อง Animal Farm แล้วก็ พายุพิโรธ แล้วหลังจากนั้นก็เล่นละครเวทีมาเรื่อยๆ นาด : แล้วหลังจากนั้นก็ออกมาเล่นละครนอกมหาลัยใช่ไหม
ปูเป้ : ใช่ค่ะ ก็หลังจากเรียนจบก็มาเล่นให้ที่ Dream Box สองเรื่อง เป็นการ์ตูนๆเรื่องหนึ่งกับอีกเรื่องงาน AF The Musical น่ะค่ะ หลังจากนั้นก็มาเล่นเรื่อง Vagina Monologue ที่ครูหนิง (พันพัสสา ธูปเทียน) กำกับ ในงานผู้หญิงในดวงจันทร์ของพระจันทร์เสี้ยวเมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็มีละครบ้างแต่ก็ไม่ใช่ละครแบบจริงจัง เป็นละครอีเวนท์บ้าง เป็นละครทำกันเอง ของรุ้นพี่อ่ะค่ะ จนมาช่วงเทศกาลละคร ก็ได้ไปเล่น ได้ไปดู ได้รู้จักคนละครมากขึ้น ก็เลยมีการติดต่อกันต่อนื่อง ก็เลยได้ไปทำงานกับกลุ่มโน้นบ้างกลุ่มนี้บ้าง ก็วิ่งไปวิ่งมาหลายกลุ่ม ก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน
นาด : แล้วตอนนี้ล่ะ ได้ยินว่าเรียนต่ออยู่ใช่ไหม
ปูเป้ : ใช่ค่ะ ตอนนี้ปู้เป้ลงเรียนป.โท อักษรจุฬา ภาษาอังกฤษเหมือนเดิม
นาด : แล้วก็ทำงานไปด้วยใช่ไหม
ปู้เป้ : ใช่ค่ะ ก็ทำงานฟรีแลนซ์
นาด : สงสัยว่าปู้เป้สนใจแต่ด้านการแสดงอย่างเดียวเลยใช่ไหม หรือสนใจทำงานในหน้าที่อื่นด้วยไหม
ปู้เป้ : ก็คือว่า...คือ ถ้าพูดจริงๆเลยก็คือ เป้ยังไม่ค่อยได้มีโอกาสไปลองทำงานหน้าที่อื่นที่ไม่ใช่แอคติ้ง หมายถึงว่าเป้ไม่เคยมีโอกาสไปเป็นสเตจแมน หรือว่าทำเสียงทำแสง ด้านแบ็คสเตจด้านโปรดักชั่น ยังไม่เคยได้ทำจริงๆ ก็เคยแค่มาช่วยดูมาช่วยจัดแจง แต่ไม่ได้มีหน้าที่นั้นจริงๆ ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าได้ทำแล้วจะชอบเหมือนกันมั๊ย แต่ก็รู้สึกว่าแอ็คติ้งก็ใช่มากแล้ว พอเราทำอย่างอื่นก็จะรู้สึกว่า โอ๊ะ เราอยากเล่นจัง ก็คงเป็นแอ็คติ้งแหละที่เป้ชอบที่สุด
นาด : งั้นถามต่อว่า ตอนนี้ปู้เป้ก็ยังอยากทำงานหลายๆชิ้นกับคนหลายๆคน คืออยากแสดงงานของผู้กำกับหลายๆคนอยู่ใช่ไหม หรือว่ายังไง
ปูเป้ :
ตอนนี้ก็ยังอยากจะหาไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าเป้ก็ยังไม่ได้ผ่านอะไรมาเยอะนักหมายถึงว่าละครที่เป็นละครจริงๆจังๆ เราก็ผ่านมาไม่ค่อยเยอะก็เลยอยากหาประสบการณ์อยู่ อย่างเช่นเรื่องนี้ อย่างของบีฟลอร์เนี่ยเป้ก็ใหม่มากเพราะเป้ไม่เคยเล่นฟิสิคัล ก็เพิ่งมาเจอฟิสิคัลตอนไปเวริ์คชอปบีเฟส
นาด : งั้นขอถามต่อว่าตอนนั้นมาเจอบีเฟสได้ยังไง
ปู้เป้ : เจอข่าวจากอีเมลล์ แล้วก็อยากมาเพราะมันเป็นช่วงที่เราอยากจะขยายความสามารถด้านร่างกายอยู่แล้ว ก็พอดีเลย ไม่ลังเลเลย ราคาก็ไม่แพงด้วย ตัดสินใจได้ทันทีเลยว่ามาแน่ๆ แล้วก็เลยรีบจองก่อนจะได้ราคาถูก (หัวเราะ) เพราะก็รู้สึกหงุดหงิดว่าเราทำอะไรไม่ค่อยได้เกี่ยวกับร่างกายเรา วอร์มยืดขาก็ทำไม่ค่อยได้ ก็เลยอยากจะรู้ว่าทำยังไง
นาด : แล้วได้อะไรจากบีเฟสบ้าง
ปู้เป้ : ก็ได้เยอะ ปีนี้พี่เงะกับพี่จาสอนเรื่อง Viewpoint ตอนแรกเป้ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาเจอแบบนี้ ก็คิดว่าคงสอนเรื่องการยืดร่างกายการจัดระเบียบร่างกายมากกว่า แต่พอเจอ Viewpoint ก็ดี เพราะมันเหมือนกับว่า ลองให้เราได้มีโอกาสคิดงาน หรือสร้างอะไรด้วยตัวเอง ซึ่งก็รู้สึกว่าเออ เราทำได้นี่ เพราะก่อนหน้านี้เป้รู้สึกว่าเป้คิดงานเองไม่เป็น รอให้ผู้กำกับบอกอย่างเดียว พอมาเจออันนี้ก็รู้สึกว่าเราก็ทำได้นี่ มันก็ไม่ได้แย่ แล้วคนอื่นก็ชอบบางอันที่เราทำ ก็รู้สึกดี มันเป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพ ซึ่งก็ต่างจากละครพูดที่เคยเล่น
นาด : แล้วมันต่อเนื่องมาถึงห้องตกกระแทกเลยหรือเปล่า
ปู้เป้ : ใช่ค่ะ คือพี่จาก็เลยชวนมาเล่นเรื่องนี้ ก็รับเลย เพราะหนูก็อยากเล่นละครอยู่แล้ว แล้วก็เป็งงาน movement ก็จะได้ลองด้วย
นาด : แล้วกระบวนการซ้อมเป็นยังไงบ้าง
ปู้เป้ :
มันเป็นกึ่งๆเวริ์คชอปและสร้างงานไปด้วยพร้อมกัน คือ บางครั้งที่ซ้อมเนี่ย ครึ่งหนึ่งของเวลาคือเป็นคล้ายๆเวริ์คชอปแล้วที่เหลือคือมาสร้างงานที่จะเอาเข้ามาเป็นซีน ก็ชอบที่ได้เราได้มาทำอะไรร่วมกันแล้วก็เห็นภาพไปในทิศทางเดียวกัน แล้วก็ มันไม่สามารถมีเรื่องที่เซ็ทมาได้ไม่งั้นมันก็เป็นเต้นไป ซึ่งเป้ก็รู้สึก เออ การทำงานแบบนี้ก็น่าสนใจ
นาด : แล้ว ถ้าถามว่า ห้องตกกระแทกห้องนี้คือห้องอะไร
ปูเป้ : ห้องนี้... หนูว่า มันเป็นศูนย์รวมความเป็นไปได้.. ต่างๆนาๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในพื้นที่ที่มีลักษณะแบบนี้ คือห้องสีขาว ที่มีบ๊อกซ์สีขาวอยู่สองสามอัน แล้วก็มีคนอยู่สี่คน แล้วทำอะไรได้บ้าง แล้วมันสามารถทำให้เกิด ความรู้สึก และภาพที่หลากหลายมาก ใครจะมานึกว่ากับการขยับกล่องไปมาจะทำให้เกิดความรู้สึกได้มากมายขนาดนี้ เป้สนใจและเป้ชอบเรื่อง...มันอัศจรรย์ว่าการขยับแค่นี้แล้วมันเกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา แล้วมันเกิดความหมายกับบางคน แล้วมันอาจจะมีความหมายอีกอย่างกับอีกคน
นาด : อืม เอาล่ะมาถึงคำถามสำคัญว่าเราเฝ้าถามทุกคนว่า ทำไมถึงชอบละครหรือยังเล่นละครอยู่ มันได้อะไร หรือทำไมถึงชอบ
ปู้เป้ : อืม..ถ้าพูดจริงๆก็คือ ละครเปลี่ยนชีวิตเป้ไปเยอะ แล้วก็เปลี่ยนข้างในความคิดเราเยอะ แล้วก็เราก็ชอบที่เรากลายมาเป็นคนแบบนี้มากกว่าแต่ก่อนก่อนที่จะเจอละคร ก็คือ มันเปิด ละคร สอนให้เรารู้จัก เออ... หาตัวเองให้เจอ แล้วก็อยู่กับตัวเอง จับตัวเองไว้ให้มั่น แล้วก็ไม่ต้องไปตามใครเพราะเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ที่เราไม่รู้ตัว แต่ว่า ให้เราอยู่กับตัวเอง แล้วก็เราก็มีความสุขกับชีวิตมากขึ้น เพราะละครมันเปิด ให้เราเอนจอยกับทุกอย่าง แล้วเหมือนกับว่า ทำให้เราเข้าใจคนได้เยอะขึ้น เราได้เข้าใจมนุษย์ได้หลายแบบเพราะไปเจอตัวละครและเราต้องทำความเข้าใจเค้า ก็...บางที อย่างแบบ... บทของคนเลวอย่างนี้ ถ้าเราต้องไปเล่นเป็นเค้า เราต้องรู้ต้องเข้าใจว่าเค้าเป็นอะไรมา รู้ที่มาที่ไปว่าทำไมเค้าถึงเลว พอเจอความคิดแบบนี้ ทำให้เรามองโลกว่ามันน่าอยู่มากขึ้น เหมือนเราเข้าใจคนแต่ละคนได้ว่าเค้าเป็นแบบนี้เพราะเค้ามีแบคกราวด์เค้ามีเหตุผลของเขา คือ ก็ไม่รู้กัน มันเกิดขึ้นข้างใน ก็อาจจะเหมือนคนหลายๆคนที่ตกหลุมรักละคร (หัวเราะ)
นาด : อืม ดีจัง ขอบคุณปู้เป้มาก แล้วเราก็ไปคุยต่อกับนักแสดงคนต่อไปแต่อดใจรอสักนิดนะคะ
นาด : แล้วเราก็ไปคุยต่อกับนักแสดงคนต่อไป คือ ฟา เอาล่ะ ถึงเราจะรู้จักกัน แต่ก็อยากให้แนะนำตัวให้กับใครหลายๆคนที่อาจะไม่รู้จักฟาคือใครแล้วมาทำละครได้ยังไง
ฟา : ชื่อจริง ชื่อฟารีดา จิราพันธุ์ นะคะ ก็เรียบจบจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะมนุษยศาสตร์ สื่อสารมวลชน แล้วก็เข้ามาเรียนรู้ละครตั้งแต่ตอนยังมีศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแสงอรุณอยู่เลยค่ะ ประมาณปี พ.ศ. 2540 แล้วก็ มาทำละครกับพระจันทร์เสี้ยว แล้วหลังจากนั้นก็ไปทำละครกับคณะโน้นคณะนี้
นาด : ฟาอยู่พระจันทร์เสี้ยวจนถึงปี...
ฟา : ประมาณปี 45 หรือ 46 อ่ะค่ะ แล้วก็ไปเล่นกับคณะโน้นคณะนี้ ตอนนี้ก็ยังเล่นละครอยู่
นาด : งั้นถามย้อนกลับว่า ละครเรื่องแรกของฟาคือเรื่องอะไร
ฟา : ละครเรื่องแรกเต็มๆเป็นละคร คือผู้อภิวัฒน์ 2475
นาด : อ้าวเหรอ....ไม่... แล้วก่อนหน้านั้นไง เล่นเรื่องอื่นมาก่อนตั้งหลายเรื่องไม่ใช่เหรอ
ฟา : มันเหมือนเป็นเวิร์คชอปแล้วก็ไปเล่นน่ะ ก็ไปเล่นกับพวกพี่นั่นแหละ กับพี่นาด กับพระจันทร์เสี้ยวนี่แหละ คือตอนแสงอรุณก็เป็นแบบอ่านบท อ่านบทกวี มันไม่ใช่แบบละครเต็มๆ อภิวัฒน์นี่แหละเป็นเรื่องแรก
นาด : ขอย้อนถามหน่อยว่า อยู่ไปเริ่มทำละครกับที่ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแสงอรุณได้ยังไง
ฟา : ไปดูละครที่แสงอรุณ
นาด : เรื่องอะไร
ฟา : อา....อะไรนะ....ปรัชญาชีวิต ของหม่อมน้อย (มล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล)
นาด : โอ้โห...ทันเรื่องนี้ด้วยเหรอ
ฟา : (หัวเราะ) ทัน คือไปดูแล้วก็ชอบมาก ชอบจังเลย แล้วก็อยากเล่นบ้าง หลังจากนั้นทางแสงอรุณรับสมัครนักแสดงมาเวริ์คชอป ก็เลยไปสมัคร แต่พี่ที่เขารับสมัครเขาบอกว่า เราไม่เคยมีประสบการณ์แสดงมาก่อน เขาเลยไม่รับ หลังจากนั้นประมาณเดือนหรือสองเดือนนี่แหละ ว่าทางแสงอรุณมีละครอะไรบ้าง คือจะไปดู ก็คือผลงานของพวกที่เข้าเวริ์คชอปนั่นแหละ เค้าก็ถามว่าจะเข้าไปช่วยได้ไหม ก็ได้ ก็เลยเข้าไปช่วยงาน ประสานงาน แล้วก็ได้เล่นไปด้วยด้วยความบังเอิญ แล้วหลังจากนั้นแสงอรุณต้องปิดตัวไป แต่ก็ยังชอบละครอยู่ ก็ไม่รู้จะไปไหน ก็พอดีเจอพี่ๆพระจันทร์เสี้ยวตอนเค้ามาซ้อมงาน พระมะเหลเถไถ เราก็ได้ดู แล้วก็เลยตามพระจันทร์เสี้ยวไป
นาด : งั้นแล้วเล่นละครมากี่ปีแล้วเนี่ย
ฟา : โอ้โห....นานมาก ก็เป็นสิบปีแล้วล่ะ
นาด : งั้นถามหน่อยว่าแล้วทำไมยังทำละครอยู่ หรือชอบละครเพราะอะไร
ฟา : ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แล้ว บางช่วงก็เคยเลิกทำไปเหมือนกัน มีช่วงพักไปประมาณ 2 ปี นาด : แล้วไปทำอะไร
ฟา : ก็ไปทำงานออร์กาไนซ์ ก็ ยังเป็นคนดู บางทีก็ไปเป็นแบ็คสเตจบ้าง แล้ววันหนึ่งก็รู้สึกว่า เฮ้ย ชั้นต้องอยู่บนเวทีสิ (หัวเราะ) นี่คือที่ของชั้น (หัวเราะ) ก็เลยกลับมาเล่นอีกที
นาด : (หัวเราะ) แล้วก็มีคนให้เล่นด้วยใช่ไหม
ฟา : (หัวเราะ) ใช่ ช่วงนั้นก็พอดีบังเอิญพี่จุ๋ม (สุมณฑา สวนผลรัตน์) บอกว่าพี่อ้อ (มัลลิกา ตั้งสงบ) จะทำละครเรื่อง Quartet ก็เลยมาแคส แล้วก็ได้ ก็เลยเป็นการกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ประมาณยั้นแหละว่า ตอบไม่ได้ว่า ทำไมถึงเลิกทำละครไม่ได้ มันเป็นที่ของเรา มันเป็นชีวิตของเรา
นาด : ขอให้ช่วยเล่าย้อนหน่อยเกี่ยวกับบีฟลอร์ เพราะฟาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้ง เริ่มงานมาด้วยกัน แล้วก็เล่นเรื่องแรกคือ มิดะ เมื่อปี 2542
ฟา : ก็ บีฟลอร์ ถ้าพูดถึงบีฟลอร์ ฟาก็จะนึกถึง เรื่องการทำงานที่มันใช้ร่างกาย และที่มันหนักที่สุดก็คือ มันจะเริ่มด้วยการไม่มีอะไรเลยในตอนแรก แล้วเราก็จะมาเจอกันมารวมกัน ใช้ร่างกาย ใช้การรวมหัว คิดกันไปเรื่อยๆกว่าจะสร้างงานมาได้สักชิ้นหนึ่ง บางทีมันก็รู้สึกว่า (หัวเราะ) โอ้ย ทำไมมันเหนื่อยจัง แต่ว่าเพราะว่างานมันไม่ใช่เริ่มจาการที่มีบทมาก่อนเหมือนเรื่องอื่นๆ ฉะนั้นสเตปของบีฟลอร์ก็คือ ช่วงแรกจะหนักมาก ต้องอดทน มันมาจากคนที่ทำงานด้วยกันช่วยกันพามันไป ซึ่งจริงๆมันก็คล้ายกับกระบวนการทำงานของพระจันทร์เสี้ยวอยู่แล้ว แต่ว่าของบีฟลอร์ที่มันหนักคือ มันใช้ร่างกาย มันต้องอยู่ด้วยกันเยอะมากๆ
นาด : คำถามสุดท้าย ในมุมมองของฟาแล้วห้องตกกระแทกมันคืออะไร
ฟา : คือ ห้องนี้เหมือนเป็นห้องกระแทกที่สะท้อนความรู้สึกของคน จะบอกว่าแค่ผู้หญิงอย่างเดียวก็ไม่ใช่ มันแค่เป็นแค่ผู้หญิงเล่นเท่านั้นเอง แต่จริงๆแล้ว เราใช้ชีวิตยังไง บางอย่างมันไม่สามารถสำเร็จรูปได้ แต่บางทีเราถูกให้เป็นหรือถูกให้ทำจากกรอบของสังคมที่บอกเรา บางทีเราพยายามที่จะเหวี่ยงอะไรออกไปจากตัวเรา หรือเลี่ยงอะไรบางอย่าง แต่ทุกอย่างมันก็สะท้อนกลับมา เพราะว่ามันเกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก เราจึงไม่สามารถจะเหวี่ยงหรือบอกว่า ฉันไม่เกี่ยวกับอะไรกับโลกนี้ได้ เพราะว่า มันไม่ได้หนีออกไปไหนจากโลกนี้ได้เลยสักอย่าง
นาด : ขอบคุณมาก เอาล่ะ ต่อไปเราจะไปคุยกับจาต่อแล้ว ให้จาช่วยแนะนำตัวเองให้กับคนที่อาจจะไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยดูละครมาก่อนเลย ว่าเป็นจาจบจากที่ไหน
จา : ชื่อจาค่ะ จารุนันท์ พันธชาติ เอ...ไม่รู้จักมาก่อนเลยเหรอ...อืม...ก็ต้องบอกว่าเป็นคนทำละครเวทีค่ะ ทำมาสิบปี (นับนิ้ว) ค่ะ ถึงแล้วสิบปีแล้วล่ะ ก็ทำมาตั้งแต่ตอนเรียนที่มหาลัยเชียงใหม่ ไม่ค่ะ ตอนนั้นมช.ยังไม่มีภาควิชาละคร มีแต่วิชาดราม่าอยู่ตัวเดียว
นาด : แล้วมาทำละครได้ยังไง แล้วเพราะอะไรถึงชอบ หรือยังทำละครอยู่
จา : ก็ตอนนั้นเข้าชมรมการแสดงของมหาลัย แล้วก็ช่วงนั้นโชคดี มีกิจกรรมเยอะมากที่เชียงใหม่ มีอาจารย์สอนแดนซ์มาสอนที่ ม.พายัพ แล้วอาจารย์ก็จัดเวิร์คชอบให้ แล้วที่เป็นจุดเปลี่ยนมากๆก็คือ ตอนนั้นเจอผู้กำกับจากนิวยอร์ค ชื่อจอร์ช ฟอกซ์ ก็ได้เวิร์คชอบ วิวพอยท์ เทคนิค แล้วก็รวมตัวกับเขาแล้วก็เพื่อนๆทำกลุ่มละครชื่อ ณInternational Wow Company ซึ่งมีโอกาสได้เจอนักแสดง ผู้กำกับที่มาจากนิวยอร์คในแต่ละโปรเจ็ค มันก็ทำให้เราทำละครแบบซีเรียสมากขึ้น เพราะต้องทำงานกับคนที่เป็นโปรเฟสชั่นนัล เราจะมาทำแบบเด็กๆมันก็ไม่ได้ แล้วมันก็ติดพัน ทำมาเรื่อยๆ
นาด : ช่วยเล่าเกี่ยวกับบีฟลอร์ให้ฟังหน่อย
จา : บีฟลอร์ เริ่มตั้งแต่ปี 42 ก็เป็นการรวมตัวกันของเพื่อนๆที่ทำละครกันอยู่แล้ว ทั้งจากพระจันทร์เสี้ยว วาวคอมปานี หรือเพื่อนที่ไม่สังกัดกลุ่ม เราก็อยากจะรวมตัวทำละครในแบบที่เราอยากทำ ทดลองกับทุกองค์ประกอบของละครเวที และก็ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือสื่อสาร
นาด : ให้ช่วยเล่าเรื่งมาที่มาที่ไป ทำไมต้องห้องตกกระแทก มันมาได้ยังไง ในฐานะของผู้กำกับและคนทำเรื่อง
จา : พี่คาเงะ (ธีระวัฒน์ มุลวิไล) ผู้กำกับร่วม เขาได้แรงบันดาลใจจากชื่ออัลบั้มของพี่เคี้ยง (ไพสิฐ พันธ์พฤกษชาติ) ชื่อ วัตถุตกกระแทกหมายเลขศูนย์ ส่วนจานึกถึงเรื่องของคนที่เดินทางโดยไร้จุดหมายแล้วหยุดแวะที่ห้องๆหนึ่ง แล้วออกไปจากห้องนั้นไม่ได้ ก็เลยพบกันครึ่งทาง เลยเป็นห้องตกกระแทกหมายเลขศูนย์ พอได้ชื่อแล้ว เราก็มาตีความทีละคำ ห้อง คืออะไร ตก คืออะไร กระแทก คืออะไร หมายเลขศูนย์คืออะไร มันเป็นจิ๊กซอว์ที่บางทีก็เข้ากันได้ดี บางทีก็ต้องมีตัวเชื่อมอื่น
นาด : แล้วในส่วนของการเป็นนักแสดงด้วย กับทำงานครั้งนี้กับนักแสดงเซ็ทนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง
จา : ดีค่ะ เป็นนักแสดงที่เปิด แล้วก็พร้อมจะลองอะไรใหม่ๆ
นาด : ถามเหมือนกับคนอื่นๆ คือ อยากจะถามว่าสำหรับจาแล้ว ห้องตกกระแทกห้องนี้คืออะไร
จา : คือโลกค่ะ
นาด : อืม สั้นๆง่ายๆแต่มันยิ่งใหญ่จัง

ค่ะ ก็คงต้องมาติดตามดูกันว่าห้องนี้มันเป็นแบบไหนกันแน่ มันคือห้องอะไรสำหรับคุณ มาหาคำตอบกันได้ที่ละครโรงเล็ก Crescent Moon Space นะคะ แสดงแค่ 8 รอบเท่านั้น และ อย่าลืมว่า โรงละครของเราเล็กมากจริงๆ รับผู้ชมได้เพียงรอบละ 30 ที่นั่งเท่านั้นค่ะ โปรดกรุณาโทรจองบัตรล่วงหน้านะคะเพื่อความสะดวกค่ะ

Tuesday, 3 June 2008

The Room No.O



ห้องตกกระแทกหมายเลขศูนย์


แสดงโดย
จารุนันท์ พันธชาติ
ฟารีดา จิราพันธ์
มีนา จงไพบูลย์
ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์

stage manager สุกัญญา เพี้ยนศรี
music director: คานธี อนันตกาญจน์
กำกับโดย จารุนันท์ พันธชาติ และ ธีระวัฒน์ มุลวิไล
6-8 มิถุนายน และ 11- 15 มิถุนายน 2551

เวลา 19.30 น.

บัตรราคา 250 บาท

โทร 089-6679539

จัดแสดงที่ crescentmoon space,

สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ

(รถไฟฟ้าบีทีเอส ซอยทองหล่อ เดินมาในซอยอีก 5 นาที สถาบันปรีดีอยู่ทางซ้ายมือ ติดร้านแอนนาการ์เด้นท์)


The Room No.0


a new production of a Bangkok based physical theatre group; B-floor.


While taking a long journey, 4 women simply want to tell the story of their numerous experiments with truth.

directed by Jaa Phantachat & Ka-ge Teerawat Mulvilai


6 -8, 11- 15 June 2008 at 7:30 p.m.

@ Crescent Moon Space

Ticket: 250 Baht


call for reservation: 089- 667 9539

Saturday, 31 May 2008

พูดคุยกับสองนักแสดงจาก The Mind Game


พูดคุยกับสองนักแสดงจาก The Mind Game
สัมภาษณ์และรูปถ่ายโดย สินีนาฏ เกษประไพ

สวัสดีค่ะ หลังจากที่เราหายหน้าหายตาไปนาน ไม่ได้ติดตามพูดคุยกับทีมงานละครที่นำละครมาลงที่ละครโรงเล็ก Crescent Moon Space ผ่านไป 3 เรื่องแล้ว (คือ หยดเลือดที่เหือดหาย, Welcome to Nothing และ ผ่าผิวน้ำ) ก็ต้องขออภัย แต่เราก็พยายามจะทำ แต่ตอนนี้ก็ทำได้ตามความสะดวกและความว่างของคนสัมภาษณ์คนแกะเทปน่ะค่ะ คราวนี้เรามาพูดคุยกับสองนักแสดงจากละครระทึกขวัญเรื่อง The Mind Game จากผู้กำกับ ครูหนุน ปัณณทัต โพธิเวชกุล

นาด : อยากให้โอ๊คแนะนำตัวเองนิดนึง
โอ๊ค : ครับ ผม กรีติ ศิวะเกื้อ ชื่อเล่น โอ๊ค ครับ เรียนจบซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับด้านละครเลยครับ ผมจบบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยชินวัตร แต่ว่าตอนที่เรียนก็เรียนการแสดงไปด้วยครับ
นาด : เรียนกับใคร ที่ไหนบ้าง หรือเรียนในมหาลัย
โอ๊ค : เปล่าครับ ผมเรียนข้างนอกหมดเลยครับ ตอนอยู่ปี 1 ตอนนั้นเรียนที่บางกอกการละคร ตอนนั้นอยู่ที่ตึกชินวัตร 3 เรียนกับครูหลายๆคน เป็นหลักสูตรที่ครูบิ๊ก (ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์) เป็นคนเขียนน่ะครับ ก็เลยได้เรียนกับอาจารย์หลายๆคน พี่จุ๋ม (สุมณฑา สวนผลรัตน์) ก็ไปสอน แล้วก็มี ครูอ้อ (มัลลิกา ตั้งสงบ) ครูสืบ (บุญส่ง นาคภู่) ครูหนึ่ง ครูอิ๋ว ครูหนุน ก็คือคนที่ผมมาเจอในวงการละครเวทีตอนนี้ ผมเคยเรียนแอ็คติ้งกับเขามาก่อน ตอนนั้นมีแอ็คติ้ง เอ บี ซี อ่ะครับ แล้วก็ไม่ได้เปิดซี เพราะไม่มีคนเรียน หลังจากนั้นที่สมาคมผู้กำกับมีเปิดสอนการแสดง ก็เลยไปเรียน
นาด : ใครจัด แล้วใครสอนบ้าง
โอ๊ค : จัดโดยสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งประเทศไทย สอนโดยครูหนืด (นิมิตร พิพิธกุล) ก็ไปเรียนกับพี่รบ พี่ตู้เนี่ยแหละครับ แล้วช่วงนั้นก็ไปแคสหนังก็ได้เล่นหนังสองเรื่อง คือ โบอางูยักษ์ ที่ฉายไปแล้ว อีกเรื่องหนึ่งคือ สวยซามูไร คิดว่าจะฉายปลายปีนี้ครับ นอกนั้นก็ได้งานถ่ายโฆษณา ถ่ายวิดิโอพรีเซ็นต์ ถ่ายโน่นถ่ายนี่ไปเรื่อย
นาด : งานโฆษณามีอะไรบ้าง
โอ๊ค : เช่น เรโซน่า ลูกอมฮาร์ดบีท แล้วก็เฟอร์นิเจอร์อินเด็กซ์ ครับ อ้อ แล้วก็โฆษณาแสตมป์เซเว่น แล้วก็ มายคอนโด
นาด : แล้วละครเวทีเรื่องแรก โอ๊คเล่นเรื่องอะไร
โอ๊ค : ถ้าเป็นเรื่องแรกจริงๆแล้ว โอ๊คเล่นตอนสมัยเรียน เล่นเรื่อง Jesus Christ Superstar ตอนนั้นเรียน ม.5 ที่อเมริกา ตอนนั้นเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ก็ไปขอเขาออดิชั่น เล่นที่ Santafe Preparatory School
นาด : เล่นเป็นตัวไหน
โอ๊ค : เล่นเป็นตัวร้ายครับ เป็นลูกน้องของจูดา สนุกมาก ตอนนั้นอายุ 17 เองครับ แล้วละครเรื่องนี้ก็ได้ร้องเพลง ก็เป็นละครเรื่องแรกครับ พอหลังจากเล่นหนังเรื่องโบอางูยักษ์แล้วเนี่ยก็มาดูหนังที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ แล้วก็เห็นใบโปสเตอร์เวริ์คชอปของกลุ่มบีฟลอร์ ตอนนั้นชื่อเวริ์คชอป บีเฟส (B Floor B Fest 2006) ก็เลยมามาเวริ์คชอป ก็เลยมาเจอกับพี่อ้นที่แสดงในโบอา เค้าก็บอกว่าที่มะขามป้อมเขารับอาสามสมัครจะให้เล่นละครเวที อยากลองมั๊ย ก็เลยชวนกันไป ก็เลยได้เล่นละครเรื่อง ศรีบูรพา พี่ตั้ว (ประดิษฐ ประสาททอง) เป็นผู้กำกับ เสร็จแล้วหลังจากนั้นเข้าเวริ์คชอปบีเฟสก็ชอบมาก แล้วก็มาเจอพระจันทร์เสี้ยวก็เลยตามดูงานพระจันทร์เสี้ยวมาเรื่อยๆ หลายเรื่อง หลังจากนั้นก็มีเวริ์คชอปอีกหลายๆอันก็เข้ามาเวริ์คชอปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Butoh workshop การใช้ร่างกาย หรืออย่างอื่น แล้วพี่จา (จารุนันท์ พันธชาติ) ก็ชวนให้มาเป็นนักแสดงเรื่อง กูรูเธียเตอร์ เล่นครั้งแรกกันตอนปี 2549 แล้วก็มา re-stage อีกทีหนึ่งตอนปี 2550 หลังจากนั้นพี่อ้นก็ชวนมาเล่น Welcome to Nothing ก็สนุกมากเลยครับ The Mind Game
นาด : เนื่องจากผู้กำกับยังไม่ว่าง ยังยุ่งอยู่ เราเลยไม่ได้พูดคุยกับครูหนุน เลยถามนักแสดงแทนว่า ทำไมเป็น The Mind Game
โอ๊ค : ตอนนั้นครูหนุนได้รู้จักกับบทละครเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยเรียนที่อเมริกา ก็เลยอยากจะกำกับเองโดยใช้นักแสดงไทย แต่เล่นเป็นภาษาอังกฤษ นี่คือที่ยากสำหรับผม เพราะสำเนียงของผมออกจะมั่วๆสักหน่อย จะอังกฤษก็ไม่ จะอเมริกันก็ไม่อเมริกัน ก็ต้องใช้เวลาปรับมาก แล้วเรื่องบทก็ยาก เพราะตัวละครจะอายุมากกว่า และบทก็ค่อนข้างเครียดมาก แต่ก็สนุกมากเหมือนกัน เพราะมันแปลกใหม่สำหรับผม ไม่เคยได้รับบทแบบนี้มาก่อน
นาด : บรรยากาศช่วงซ้อมเป็นยังไงบ้าง ไปซ้อมกันที่ไหน
โอ๊ค : ก็สนุกมากครับ เราไปซ้อมกันที่สตูดิโอของพี่เอ๋ ที่ DemoCrazy Studio การซ้อมก็เป็นไปอย่างสบายๆ ทั้งสามคนก็ชอบชวนกันไปกินโน่นนี่เรื่อยๆ ครูหนุนเป็นผู้กำกับใจดี และสามารถไกด์ให้ผมทำได้ เช่น เรื่องสำเนียง ก็ต้องกลับบ้านไปทำรูปปากให้ถูกต้อง ให้ออกเสียงท้ายคำให้ชัดเจน แล้วต้องทำหน้าแปลกประหลาดหน้ากระจกให้หน้าคลาย เรื่องเสียงที่โอ๊คมีปัญหา ครูหนุนก็ให้หาเสียง หาความรู้สึกใหม่ๆ เราต้องค้นหา สุดท้ายก็ได้อย่างที่อยากได้ แล้วพี่เอ๋ก็เก่ง แล้วก็เห็นพี่เอ๋ซ้อมอยู่ตลอด หรือไม่ก็ทำโน่นทำนี่เพื่อให้ได้อย่างที่อยากให้เป็น ตอนหลังทีมงานก็เข้ามา แล้วเป็นทีมงานที่น่ารักมาก ก็เข้ามาช่วยกัน เอ้อ ลืมบอกไปว่า ผมเล่นอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง ประสาทแตก ของครูหนิง (พันพัสสา ธูปเทียน) หลังจากกูรูเธียเตอร์ เป็นงานที่ยากและท้าทาย ผมก็อยากจะงานที่แปลกๆยากๆอย่างนี้แหละครับ เพราะแต่ละงานทำให้เราได้เรียนรู้ได้เติบโต
นาด : งานต่อไปของโอ๊คล่ะ จะทำอะไร
โอ๊ค : หลังจากนี้ก็จะกลับบ้านก่อนครับ แล้วตอนปลายๆปีก็กลับมาเล่นงานของพี่นาดล่ะครับ แล้วก็มาเข้าเวริ์คชอปกับพระจันทร์เสี้ยวด้วย
นาด : ลืมถามไปว่า ชอบละครเพราะอะไร ทำไมถึงมาทำละคร หรือชอบอะไรในละคร
โอ๊ค : ตอนเป็นเด็กผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างแปลกประหลาด แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก ชอบคิดอะไรแปลกๆ พอโตขึ้นก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กก้าวร้าวไม่น่ารัก แต่พอมาเรียนละครแล้วทำให้เข้าใจอะไรไมากขึ้น ได้เข้าใจคนอื่น ได้เข้าใจตัวเอง เหมือนกับสันดานดีขึ้นนิดหนึ่ง ก็เลยคิดว่า คือ ที่อยากเป็นนักแสดงเพราะว่า ผมคิดว่าชีวิตคนเราสั้นจังเลย แล้วผมก็เป็นคนที่กลัวตัวเองแก่เพราะผมยังอยากจะทำอะไรอีกเยอะๆ แต่การได้เล่นละครได้เล่นบทบาทอะไรหลายๆอย่าง เราได้เห็นแง่มุมอะไรแปลกๆ ได้มองเห็นอะไรหลายๆอย่างที่เอามาย่อๆให้เราได้เรียนรู้ ตรงนี้คือสิ่งสนุกและเสน่ห์ของละครที่อยากทำ แล้วก็การค้นหา มันเป็นการค้นหาจิตใจของตัวเองจากการเล่นบทต่างๆ ทำให้ได้รู้จักคนอื่นและได้รู้จักตัวเองในแบบอื่น
นาด : อีกคำถามหนึ่ง มองตัวเองกับงานละครไว้ยังไง อยากจะทำหน้าที่อะไรหรือมุ่งเน้นด้านไหนในงานละครเวที
โอ๊ค : ผมอยากเขียนบท ผมมีเรื่องราวที่ผมอยากเล่า แต่ตอนนี้ผมสนุกกับการเป็นนักแสดงอยู่มากๆเลยครับ ผมก็คิดว่าจะเรียนรู้ไปก่อนในช่วงนี้ จริงๆแล้วผมก็เรียนละครจากข้างนอก คือไม่ได้เรียนละครมาโดยตรง ผมเรียนจากการไปร่วมงานกับคนอื่นๆ เหมือนอย่าง เรียนจากการมาร่วมงานกับครูหนุนใน The Mind Game ผมก็ได้เรียนรรู้หลายๆอย่าง คิดว่ามันเป็นกำไรตรงนี้ ผมอยากเป็นนักแสดงที่พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ได้มีส่วนในการทำให้ คือ ละคร มันเป็นการสื่อสารในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มันทำให้เห็นอะไรหลายอย่าง เห็นแง่มุมอื่น ทำให้สนุกได้ด้วย ผมคิดว่า ถึงผมอาจจะไม่ได้มีบทบาทที่ยิ่งใหญ่อะไร แค่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งแค่นี้ก็รู้สึกดีใจมากแล้ว
นาด : ขอบคุณมากค่ะโอ๊ค คราวนี้เราก็ตามไปคุยกับนักแสดงหญิงกันบ้าง (ซึ่งกำลังทำผมอยู่) คือเอ๋ ภาวิณี สมรรคบุตร ก็อยากให้เอ๋ช่วยเล่านิดหนึ่งว่าจบที่ไหน ทำงานละครอะไรมาบ้าง
เอ๋ : จบจากปริญญาตรี เอกละครธรรมศาสตร์ โทวาทะวิทยาและสื่อสารการแสดง จากนิเทศน์ศาสตร์ จุฬา
นาด : ขอถามนิดหนึ่ง ตอนจะเรียนจบละคร ตอนนั้นทำเรื่องอะไร
เอ๋ : ทำเรื่อง Jones of Arc คือเอาเรื่องมาเขียน ทำเป็นภาพมากกว่า คือ ตอนนั้นนำเสนอด้านเทคนิค ฉาก แสง เสียง เลยเป็นงานภาพมากกว่า เป็นการจัด Composition
นาด : แล้วช่วงเรียนก็เล่นละครตลอดเลยใช่ไหม
เอ๋ : ก็เล่นละครกับที่ชั้น 8 แล้วก็มีไปช่วยงานที่มะขามป้อมบ้าง
นาด : แล้วหลังจากจบแล้ว เอ๋ทำงานอะไร หรือทำละครกับกลุ่มไหน
เอ๋ : พอจบแล้วก็ไปทำงานด้านแสงกับบริษัท ทำงาน Event ช่วงสองปีแรกหลังจบนั้นก็มีทำละครบ้าง คือทำด้าน กำกับ แต่รู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลาก็เลยหยุดไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นก็คิดว่าจะไม่ทำงานประจำแล้ว ก็กลับมาทำงานละคร ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มะขามป้อมกำลังจะทำงาน 30 ปี 14 ตุลา กำลังเตรียมละครเรื่อง เหลียวหลังแลหน้าตุลงตุลา ก็เลยได้กลับไปเล่น อ้อ ก่อนหน้านั้นก็ได้ไปเวริ์คชอปละครกับ Dan Kwang (ศิลปินอเมริกัน-จีน) ที่เชียงใหม่ แล้วกลับลงมาเล่น มันเป็นช่วงต่อกันเลย
นาด : แล้วเข้าไปเป็นสมาชิกกลุ่มละครแปดคุณแปดตั้งแต่เมื่อไหร่
เอ๋ : ตั้งแต่เทศกาลละครปีแรก ซึ่งเราเล่นละคร แล้วก็เจอพี่นิกร แล้วพอปีที่สองก็มาช่วยงานเทศกาลแล้วก็ได้คุยกันอีกครั้ง ว่าสนใจงานของพี่เขา
นาด: แล้วก็ไปเวิร์คชอป “ตัวอ่อน” รุ่นแรกๆ
เอ๋: ใช่ รุ่นที่สอง จริงๆ ต้องเป็นรุ่นที่สาม เพราะรุ่นแรก มันไม่เชิงเป็นตัวอ่อน คือ พวกพี่จุ๋ม พี่จา ซึ่งเขามาเวิร์คชอปแล้วเล่นในเรื่อง “กรุงเทพน่ารักน่าชัง”
นาด: แล้วเล่นเรื่องแรก ของแปดคูณแปด คือเรื่อง...
เอ๋: เรื่อง แม่น้ำแห่งความตาย
นาด: แล้วอยู่ในคณะนี้ ทำหน้าที่อะไรบ้าง หลากหลายไหม
เอ๋: จริงๆ แล้ว พี่นิกร ก็จะบอกไว้ว่า หลักๆ แล้วทุกคนในกลุ่มเป็นนักแสดง แต่ว่าในแต่ละโปรดักชั่น มันก็มีหน้าที่ที่ต้องแบ่งกัน ซึ่งส่วนมากก็ค่อนข้างจะ fix แหละ เป็นพวกพีอาร์ ออกแบบ นาด: แล้วเรื่องอื่นๆ กับผู้กำกับคนอื่นๆ ล่ะ มีอะไรบ้างเอ๋: ก็จะมี “เส้นด้ายแห่งความมืด” ของพี่ปุย (อ.พนิดา) “ติดกับ” ของฮีน(ศศิธร พาณิชนก) แต่ถ้ากับแปดคูณแปด ก็จะมี “สวยสู่นรก” “พระเจ้าเซ็ง” “เมาธ์” “ไร้พำนัก” ซึ่งเป็นเรื่องล่าสุดก่อนเรื่องนี้
นาด: แล้วมาทำงานเรื่องนี้ กับอ.หนุนได้ยังไง
เอ๋: พอดีได้คุยกัน แล้วก็พี่หนุน อยากทำเรื่องเพราะเขาบอกว่าเขาชอบเรื่องนี้ แล้วก็เคยเล่นสมัยเรียน ที่นี้ พี่หนุนได้มาดูละครที่เอ๋เล่นแล้วก็คิดว่าน่าจะเหมาะกับบทนี้นะ ก็เลยลองชวนมาเล่น
นาด: ตอนซ้อมเรื่องนี้ เป็นยังไงบ้าง
เอ๋: ตอนแรกๆ ก็ซ้อมแบบแยกกันนะ แล้วค่อยมาเจอกันตอนหลัง ก็สนุกดี สถานการณ์ของเรื่องก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เป็นแนวแบบสมจริง
นาด: ปัจจุบันเอ๋ ทำงานอะไร
เอ๋: ก็ทำละคร แล้วก็รับงานอิสระบ้าง มีงานสตูดิโอที่ทำเพลง แต่ว่าจริงๆแล้ว วัตถุประสงค์ก็คือ ได้ทำงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับละคร คือ ทำเพลง ทำละคร
นาด: แล้วตอนนี้ยังอยู่แปดคูณแปดอยู่ไหม
เอ๋: ยังอยู่
นาด: แล้วสำหรับละครเรื่องที่ มีอะไรที่แปลกใหม่บ้างไหม
เอ๋: ก็อาจจะเป็นเรื่องภาษา คือ มันมีส่วนที่ทำให้เราไม่พะวงกับบทมากเกินไป เราจะพะวงแค่ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าพอถึงระดับนึงแล้วก็จะไม่ได้สนใจเรื่องบทมาก แล้วก็มันเป็นเรื่องภาวะการอยู่ส่วนตัวของตัวละคร คืออยู่คนเดียว ซึ่งก็สนุกดี
นาด: แล้วงานละคร เรื่องต่อไปมีไหม หรือมีแผนไหมว่าจะทำอะไรต่อไป
เอ๋: ก็มีงานที่คิดว่าจะทำ ที่ Gossip Gallery ว่าจะกำกับเอง ก็อาจจะชวนเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน แล้วก็มีละครกับฮีน แต่ยังไม่สรุปว่าเรื่องอะไร
นาด: ละครที่จะทำเองเป็นเรื่อง หรือว่าเป็น performance
เอ๋: เป็น performance แล้วก็กับ DemoCrazy ตอนเดือนตุลา ในงานศิลปะกับสังคม
นาด: แล้วเอ๋มองตัวเองกับงานละคร แล้วคาดหวังตัวเองในอนาคตว่าอย่างไร
เอ๋: ถ้างานละครจริงๆ ก็คงจะเป็น นักแสดง คือถ้ามีประสบการณ์มากขึ้น แล้วมีเรื่องที่อยากจะถ่ายทอด ก็จะลองทำงานกำกับออกมา แต่วัตถุประสงค์ตอนนี้ก็คืออยากจะเล่นละครมากกว่า เพราะก็ยังไม่มีเรื่องที่อยากจะเล่าเอง
นาด : เราต้องขอบคุณนักแสดงหญิงของเรามาก แล้วเธอก็ได้เวลาไปเตรียมตัวแสดงแล้ว

ส่วนคราวหน้าเราจะไปพูดคุยกับทีมสาวๆจากห้องตกกระแทกหมายเลขศูนย์กันนะคะ ว่ามันเป็นห้องแบบไหนกันแน่ แล้วในห้องนั้นมันจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง โปรดกรุณาติดตาม


Wednesday, 14 May 2008

The Mind Game




The Mind Game

Directed by Pannatat Po-dhivejakul

Bangkok Troupers invites you to join in this journey at Crescent Moon Space
(Inside Pridi Banomyong Institue)
Sukhumvit 55 (Between Soi Thong Lor 1 & 3)

From : May 30 – June 1, 2008. (5 performances only)
Time : Friday @ 7:30 pm.
Saturday & Sunday @ 4:00 pm. and 7:30 pm.

Ticket: Bht. 250 (Student Bht. 200 with student I.D.)
Reservation : 08.0606.0522 and 08.1850.2893

*** Remark : Performed in English (with Thai subtitle). ***

Wednesday, 7 May 2008

เกี่ยวกับ ผ่าผิวน้ำ

ผ่าผวน้ำ - ผ่าใจคนทำ

ละครเวทีเรื่องนี้สร้างบทการแสดงขึ้นมาจากการผสมผสานวัตถุดิบ 3 ชิ้นเข้าด้วยกัน นั่นคือ อัตชีวประวัติของ Greg Louganis ซึ่งเขียนร่วมกับ Eric Marcus, บทละครเรื่อง Biografie: Ein Spiel ฉบับปี 1984 โดย Max Frisch (ก่อนหน้านั้น Frisch ได้เขียนเรื่องนี้มาแล้วฉบับหนึ่งในปี 1967) และบทละครเรื่อง Breaking the Surface ซึ่งตัวผู้กำกับฯเองได้เคยดัดแปลงเป็นภาษาอังกฤษเมื่อปี 1996 ขณะกำลังศึกษาวิชา Techniques of Adaptation อยู่ ณ Middlesex University ประเทศอังกฤษ

เพื่อให้เหมาะสมกับสังคมและยุคสมัย รวมทั้งให้เหมาะแก่นักแสดง ทรัพยากรและสถานที่จัดแสดง เนื้อหาในการจัดแสดงคราวนี้ได้แปลงให้เป็นเรื่องราวของ “กันตชาติ” นักกีฬากระโดดน้ำชาวไทยวัย 29 ซึ่งก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จในฐานะแชมเปี้ยนทีมชาติ 4 เหรียญทองสองสมัย เขาได้รับโอกาสที่เกิดขึ้นไม่ได้ชีวิตจริงแต่เป็นไปได้บนเวทีละคร ให้ย้อนกลับไปในอดีตเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตใหม่ โดยในช่วงแรกเขาได้พยายามหลีกเลี่ยงให้ตนเองหลุดพ้นไปจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ “ท๊อป” ด้วยการผ่านกระบวนการที่ทำให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับช่วงเวลาสำคัญต่าง ๆ ในชีวิต จนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในค่ำคืนแรกที่เขาพบและลงเอยกับท๊อปได้ ส่วนช่วงที่สองเหตุการณ์ได้ย้อนกลับไปในชีวิตหลังจากที่เขาตัดสินใจคบหาและอยู่กินกับท๊อปเป็นเวลา 7 ปี ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงอารมณ์และความคิดที่มีขอบเขตจำกัดต่อการเปลี่ยนแปลงอดีตแบบต่าง ๆ ที่ช่วยให้เขาหลบหลีกจากความผิดพลาดเก่า ๆ ที่เคยทำมา

ในเรื่องมีวัตถุอยู่ 2 ชิ้นที่เป็นสัญลักษณ์แสดงภาวะของกันตชาติ อย่างแรกคือนาฬิกาดนตรีที่ท๊อปชื่นชอบ และหมากรุกที่สามารถเปลี่ยนวิธีเดินไปได้มากมายภายใต้กติกาเพียงไม่กี่ข้อ กันตชาติเชื่อว่าเขาสามารถเล่นเกมชีวิตได้ใหม่เหมือนกับการเล่นหมากรุก โดยจดจำความผิดพลาดที่ผ่านมา ล้มกระดานใหม่ แล้วหาทางหลีกเลี่ยงเพื่อจะได้จบเกมลงอย่างที่ตัวเองพอใจ แต่ว่าทางเลือกที่เขาตัดสินใจใหม่นี้ กลับทำให้เขาวนเวียนอยู่ในวัฎจักรเช่นเดียวกับกลไกของนาฬิกาดนตรีที่ถูกกำหนดไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว

การซ้อมบทครั้งในค่ำคืนแรกที่กันตชาติได้พบกับชายคนรัก เห็นได้ชัดว่ากันตชาติประสบความล้มเหลวในการสร้างประวัติชีวิตใหม่ที่ไม่มีท๊อป กันตชาติไม่สามารถควบคุมความปรารถนาของตนเองได้ เขาจึงต้องย้อนกลับไปหาอดีตในช่วงก่อนหน้าที่เขาจะได้พบกับชายคนรักเพื่อหักเหเส้นทางชีวิตไม่ให้ต้องมาพบกัน กติกาของเกมนี้บอกให้เขารู้ว่าถึงแม้เขาจะมีสิทธิ์เลือกได้ตามอำเภอใจ แต่เขาก็ไม่สามารถมีอิสระได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่เขาต้องการ เนื่องจากคนอื่นก็มีเสรีภาพที่จะเลือกได้เหมือนกัน อีกทั้งทุกอย่างที่เขากระทำได้ถูกวางกรอบไว้แน่นอนแล้วตามสติปัญญาและนิสัยที่เขามีมา เขาจึงไม่สามารถลบล้างความทรงจำของตัวเองที่มีติดตัวอยู่ตลอดชีวิตได้ ไม่ว่าอุบัติเหตุที่ทำให้เพื่อนรักเพื่อนแค้นต้องตาบอด ความลังเลที่จะจากรักครั้งแรกในชีวิตเพื่อไปเยี่ยมแม่ที่กำลังมีอาการอยู่ในขั้นวิกฤติ ความขัดแย้งกับพ่อเจ้าอารมณ์ การคบผู้หญิงเพื่อจะหลีกหนีความเป็นเกย์ของตนจนในที่สุดก็เป็นเหตุทำให้เธอต้องฆ่าตัวตาย ฯลฯ การทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้กันตชาติประจักษ์ว่าเขาได้เข้าไปมีส่วนพัวพันกับชีวิตของคนอื่นอย่างซับซ้อน อีกทั้งยังเปิดเผยให้เห็นถึงทัศนคติของเขาที่มีต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วย เช่น การที่เขาช่วยให้นักกีฬาชาวพม่าให้ลี้ภัยในขณะไปแข่งซีเกมส์ เขารู้สึกภาคภูมิใจเพราะเขาไม่ต้องทุ่มเทอะไรมากมายเท่ากับการซ้อมกระโดดน้ำ และไม่ต้องสูญเสียอะไรในชีวิตด้วย และการที่เขาไม่คิดป้องกันให้สาธิกาฆ่าตัวตายก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะจงใจปล่อยความบังเอิญให้เข้ามาตัดสินชะตากรรม ซึ่งเห็นได้ชัดจากคำพูดที่ว่า “ผมเคยชินกับความผิดพลาดของผมซะแล้วล่ะ” ที่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอและเฉื่อยชาผิดกับบุคลิกอันเชื่อมั่นในตอนแรกที่เขาพูดว่า “ถ้าเขาสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เขารู้แน่ชัดว่าจะทำตัวให้แตกต่างไปจากเดิมได้อย่างไร” กันตชาติจึงกลายเป็นเพียงคน ๆ หนึ่งที่ยอมประพฤติตัวซ้ำซากในขณะย้อนไปทบทวนและแก้ไขปมในอดีต มากกว่าจะเป็นผู้เรียนรู้และยอมรับความเจ็บปวดอันเนื่องมาจากการซื่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น

การซ้อมบทในช่วงที่สองแสดงให้เห็นถึงชีวิตอันแห้งแล้งระหว่างกันตชาติกับท๊อป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กันตชาติต้องการหลีกหนีให้พ้นเป็นที่สุด ท๊อปยังคงความเหนือกว่าและเป็นตัวของตัวเองมากกว่า ซึ่งนั่นเป็นการถ่ายทอดออกมาจากมุมมองของกันตชาติ เช่นเดียวกับตัวละครอื่น ๆ ที่ผุดขึ้นมาจากจิตสำนึกของเขา ท๊อปที่เราเห็นไม่ใช่ท๊อปตัวจริง ทั้งนี้เนื่องจากกันตชาติรู้สึกว่าเขาถูกผู้ชายคนนี้ข่มและบงการชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะหลงใหลได้ปลื้มผู้ชายคนนี้ไปด้วย และสิ่งเหล่านี้เองที่เราสามารถสัมผัสได้ตลอดเวลาในขณะอ่านประวัติชีวิตของ Greg Louganis โดยเฉพาะในบทที่เกี่ยวกับ “ทอม” ผู้เป็นทั้งคนรัก ผู้จัดการส่วนตัว และสาเหตุหลักแห่งหายนะในชีวิตของเขา และนี่คือที่มาของการจับเอาเรื่องราวในชีวิตของนักกีฬากระโดดน้ำผู้นี้ มาผสานกับบทละครเรื่อง Biografie: Ein Spiel ของ Max Frisch นั่นคือ ใช้มนต์สมมุติและอัจฉริยภาพของเวทีละครเพื่อให้ผู้ชายคนหนึ่งกระทำการ “ผ่าผิวน้ำ” ด้วยการให้เขาได้มีโอกาสเลือกใหม่ ถ้าเขารู้ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองตรงไหน และอย่างไร

ในความพยายามครั้งสุดท้ายของกันตชาติ ที่จะทลายแบบแผนอันซ้ำซากที่เป็นอยู่ก่อนหน้านั้น กันตชาติได้ตัดสินใจยิงท๊อปด้วยความขมขื่น เขาต้องใช้กระสุนปืนถึงห้านัดก่อนที่ความตั้งใจของเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในชีวิตได้ ซึ่งตัวกันตชาติเองก็ยอมรับในภายหลังว่าเป็นเพราะคำพูดของท๊อปที่มักจะบอกซ้ำ ๆ ว่า “ตอนบ่ายผมอยู่ที่ยิม” นั้นยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของเขาตลอดเวลา เขาจึงยิงประโยคนี้เพื่อให้มันลบเลือนหายไป แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ล้มเลิกความตั้งใจนี้ เพราะความรักที่เขามีต่อท๊อป ถึงแม้จะแฝงไปด้วยความเจ็บปวด หึงหวง และเกลียดชังมากเพียงใด แต่ก็มีพลังเกินกว่าจะไปตรวจสอบด้วยเรื่องที่สมมุติขึ้นมาได้

ดังนั้นกันตชาติจึงแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยในช่วงชีวิตที่เขาอยู่ร่วมกับท๊อป ทั้งนี้อาจเป็นเพราะอดีตนั้นเปลี่ยนยากเกินไป เขาจึงเหลือแต่ความแก่ชรากับความตายอันเนื่องมาจากโรคเอดส์ที่เขาติดจากใครมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อกันตชาติหยุดเล่นเกมประวัติชีวิต เขาจึงยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “เขากลัวความตายอย่างช้า ๆ เขากลัวที่จะต้องรอ” ด้วยเหตุนี้ “ผู้กำกับ” ซึ่งรู้เฉพาะสิ่งที่กันตชาติรู้ จึงสามารถเปิดเผยและเสนอแนะทางเลือกต่าง ๆ ที่กันตชาติมีอยู่ได้ ทำให้กันตชาติสารภาพกับท๊อปเป็นครั้งแรกว่า “เราต่างประเมินกันและกันต่ำเกินไป ทำไมเราต้องดูถูกกันด้วยนะ ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เราเสื่อมถอยด้อยค่ากันไปหมด หรือคนเราจะรู้จักกันเพียงในสภาพนี้เท่านั้น” ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ความตั้งใจของกันตชาติ สามารถเอาชนะจิตสำนึกที่เป็นเพียงการแสดงได้ โดยการซ้อมบทได้กลับมายังจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เมื่อผู้กำกับเปิดโอกาสให้ท๊อปได้เริ่มใหม่บ้าง เขาก็ได้ใช้แค่โอกาสที่เขาได้รับมานี้ทำตัวให้แตกต่างไปจากเดิม ด้วยการเลือกที่จะเดินออกไปจากบ้านของกันตชาติในคืนนั้น แน่นอน ในกรณีนี้ท๊อปสามารถทำได้เพราะเขาเป็นเพียงภาพสะท้อนที่ออกมาจากมุมมองของกันตชาติ เมื่อเขาถูกปลดปล่อยออกจากกติกา เขาจึงมีอิสระที่สามารถทำได้ทุกอย่างตามตัวตนที่เขาเป็น

ละครเรื่องนี้อาจจะเรียกได้ว่าจัดอยู่ในหมวด “ละครแห่งจิตสำนึก” ซึ่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสร้างขึ้นมาให้เป็น “ละครเชิงสารคดีชีวประวัติ” หรือ “ละครเลียนแบบเรื่อง” ที่มุ่งเสนอข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของนักกีฬากระโดดน้ำชื่อดัง ตามแบบแผนหรือหลักเกณฑ์ของการดัดแปลงบทที่เคยมีการทำวิจัยและยึดถือปฏิบัติกันมา(นาน) สิ่งที่น่าสนใจจึงไม่ใช่ชีวประวัติของกันตชาติที่นำเค้าโครงเหตุการณ์หรือรายละเอียด (ทั้งหมดหรือบางส่วน) มาจากเรื่องราวต่าง ๆ ในประวัติชีวิตของ Greg Louganis หากเป็นทัศนคติของตัวละครกันตชาติที่มีต่อประวัติชีวิตของตนเอง ซึ่งนั่นก็พ้องกับที่ Max Frisch ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายของบทละครเรื่อง Biografie: Ein Spiel” ว่า... “ละครเรื่องนี้เล่นบนเวที ผู้ชมไม่ควรเข้าใจไปว่าเป็นสถานที่ใด ๆ ที่มีลักษณะเหมือนเวทีละคร ที่นี่จะมีเหตุการณ์ที่เป็นไปได้เฉพาะแต่ในละครเท่านั้น เหมือนกับที่น่าจะเป็นไปได้ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง เพราะฉะนั้นเนื้อหาของละครเรื่องนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ประวัติของกันตชาติซึ่งออกจะธรรมดา หากอยู่ที่พฤติกรรมของเขาที่มีต่อสภาพความเป็นจริงที่ว่า มนุษย์ทุกคนที่มีความผูกพันกับเงื่อนเวลา ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีประวัติชีวิตของตนชุดหนึ่ง ละครเรื่องนี้จึงมิได้แสดงถึงเหตุการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น แต่เป็นการทบทวนเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งคล้ายกับการเล่นหมากรุกตอนที่เราตั้งตัวสำคัญที่เราเดินพลาดไปขึ้นมาใหม่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเราจะสามารถเดินหมากแบบอื่นได้หรือไม่อย่างไร ... ละครเรื่องนี้ไม่ต้องการพิสูจน์อะไรทั้งสิ้น ...”

นอกจากนี้ Frisch ยังได้กล่าวไว้อีกว่า “ผู้กำกับที่เป็นผู้ดำเนินเรื่องไม่ได้เป็นตัวแทนของอำนาจเหนือมนุษย์ใด ๆ เขาพูดในสิ่งที่กันตชาติรู้อยู่แล้วหรือสามารถรับทราบได้ทั้งสิ้น เขาไม่ใช่พิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการเพราะเขาไม่ได้หันมาพูดอะไรกับผู้ชมเลย แต่เขาเป็นคนช่วยให้กันตชาติได้คิดรอบด้านมากยิ่งขึ้น และไม่เริ่มจากตัวเองหรือคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ถ้าหากผู้กำกับ (ซึ่งที่จริงไม่มีใครเรียกเขาด้วยตำแหน่งนี้หรือชื่อตำแหน่งอื่นใดตลอดทั้งเรื่อง) จะเป็นตัวแทนของอำนาจใดละก็ คงเป็นอำนาจของละครที่อนุญาตให้เราทำสิ่งที่เราไม่สามารถทำในความเป็นจริงได้ นั่นคือ การได้มีโอกาสทำซ้ำ ทดลอง เปลี่ยนแปลง และด้วยวิธีการนี้ แน่นอน เขาก็มีอำนาจอยู่ในระดับหนึ่ง บทที่เขาใช้อยู่นั้นไม่ใช่บันทึกประจำวันที่กันตชาติเขียนเอาไว้ และก็ไม่ใช่แฟ้มบันทึกของหน่วยงานใดเก็บรวบรวมเอาไว้ด้วย แต่บทนี้มีอยู่แล้วในจิตสำนึกของกันตชาติ และไม่ว่าจะมีการบันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดสามารถรวมกันได้จนกลายเป็นประวัติเรื่องราวของเขา เป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งกันตชาติเองก็ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นไปได้ การเปลี่ยนสลับแสงไฟระหว่างไฟละครกับไฟทำงานบนเวที ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนสลับระหว่างภาพมายากับความเป็นจริง แต่ไฟละครหมายถึงขณะนั้นกำลังเป็นการลองสิ่งที่อาจเป็นไปได้อีกทางหนึ่งที่แตกต่างไปจากสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ (ซึ่งไม่ได้ปรากฏบนเวทีเลย) ดังนั้นละครเรื่องนี้จึงเป็นการทดลอง และเมื่อกันตชาติเดินออกมาจากฉากใดฉากหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ออกมาอย่างตัวแสดงตัวหนึ่งในเรื่อง แต่เขาเป็นกันตชาติ และอาจเป็นไปได้ว่าในตอนนั้นตัวเขาจะยิ่งดูน่าเชื่อมากยิ่งขึ้น นั่นคือ ไม่มีฉากใดเหมาะสมถูกใจเขาจนทำให้เห็นว่าไม่อาจเป็นอย่างอื่นไปได้ มีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นไปได้ ... ผมตั้งใจให้ละครเรื่องนี้เป็นสุขนาฏกรรม”

เรียบเรียงจาก The Plays of Max Frisch โดย Michael Butler

“ผ่าผิวน้ำ” แปลต้นฉบับจากภาษาเยอรมันโดย เจนจิรา เสรีโยธิน, ปานรัตน กริชชาญชัย และจากภาษาอังกฤษโดย กฤษณะ พันธุ์เพ็ง สร้างบทและกำกับการแสดงโดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ นำแสดงโดย กฤษณะ พันธุ์เพ็ง, นพพันธ์ บุญใหญ่, สุเกมส์ กาญจนกันติกุล ร่วมด้วยนักแสดงละครเวทีอีกคับคั่ง อาทิ เกรียงไกร ฟูเกษม, ปานรัตน กริชชาญชัย, ศุภฤกษ์ เสถียร, สาธิกา โภคทรัพย์, ณัฐกานต์ ภู่เจริญศิลป์ และ ช่อลดา สุริยะโยธิน จัดแสดง ณ Crescent Moon Space สถาบันปรีดี พนมยงค์ ทุกคืนเวลา 19.30 น. (เว้นคืนวันจันทร์) ตั้งแต่วันที่ 13 ถึง 25 พฤษภาคม 2551 จองบัตรได้ที่โทร 086 787 7155 และ 089 600 2295 (รับผู้ชมจำนวนจำกัดเพียง 30 คนต่อรอบเท่านั้น)

หมายเหตุ: ละครเรื่องนี้มีความยาว 2 ชั่วโมง ไม่รวมพักครึ่ง 10 นาที

เกี่ยวกับ ผ่าผิวน้ำ



ผ่าผิวน้ำ - ผ่านใจคนทำ

ละครเวทีเรื่องนี้สร้างบทการแสดงขึ้นมาจากการผสมผสานวัตถุดิบ 3 ชิ้นเข้าด้วยกัน นั่นคือ อัตชีวประวัติของ Greg Louganis ซึ่งเขียนร่วมกับ Eric Marcus, บทละครเรื่อง Biografie: Ein Spiel ฉบับปี 1984 โดย Max Frisch (ก่อนหน้านั้น Frisch ได้เขียนเรื่องนี้มาแล้วฉบับหนึ่งในปี 1967) และบทละครเรื่อง Breaking the Surface ซึ่งตัวผู้กำกับฯเองได้เคยดัดแปลงเป็นภาษาอังกฤษเมื่อปี 1996 ขณะกำลังศึกษาวิชา Techniques of Adaptation อยู่ ณ Middlesex University ประเทศอังกฤษ

เพื่อให้เหมาะสมกับสังคมและยุคสมัย รวมทั้งให้เหมาะแก่นักแสดง ทรัพยากรและสถานที่จัดแสดง เนื้อหาในการจัดแสดงคราวนี้ได้แปลงให้เป็นเรื่องราวของ “กันตชาติ” นักกีฬากระโดดน้ำชาวไทยวัย 29 ซึ่งก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จในฐานะแชมเปี้ยนทีมชาติ 4 เหรียญทองสองสมัย เขาได้รับโอกาสที่เกิดขึ้นไม่ได้ชีวิตจริงแต่เป็นไปได้บนเวทีละคร ให้ย้อนกลับไปในอดีตเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตใหม่ โดยในช่วงแรกเขาได้พยายามหลีกเลี่ยงให้ตนเองหลุดพ้นไปจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ “ท๊อป” ด้วยการผ่านกระบวนการที่ทำให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับช่วงเวลาสำคัญต่าง ๆ ในชีวิต จนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในค่ำคืนแรกที่เขาพบและลงเอยกับท๊อปได้ ส่วนช่วงที่สองเหตุการณ์ได้ย้อนกลับไปในชีวิตหลังจากที่เขาตัดสินใจคบหาและอยู่กินกับท๊อปเป็นเวลา 7 ปี ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงอารมณ์และความคิดที่มีขอบเขตจำกัดต่อการเปลี่ยนแปลงอดีตแบบต่าง ๆ ที่ช่วยให้เขาหลบหลีกจากความผิดพลาดเก่า ๆ ที่เคยทำมา

ในเรื่องมีวัตถุอยู่ 2 ชิ้นที่เป็นสัญลักษณ์แสดงภาวะของกันตชาติ อย่างแรกคือนาฬิกาดนตรีที่ท๊อปชื่นชอบ และหมากรุกที่สามารถเปลี่ยนวิธีเดินไปได้มากมายภายใต้กติกาเพียงไม่กี่ข้อ กันตชาติเชื่อว่าเขาสามารถเล่นเกมชีวิตได้ใหม่เหมือนกับการเล่นหมากรุก โดยจดจำความผิดพลาดที่ผ่านมา ล้มกระดานใหม่ แล้วหาทางหลีกเลี่ยงเพื่อจะได้จบเกมลงอย่างที่ตัวเองพอใจ แต่ว่าทางเลือกที่เขาตัดสินใจใหม่นี้ กลับทำให้เขาวนเวียนอยู่ในวัฎจักรเช่นเดียวกับกลไกของนาฬิกาดนตรีที่ถูกกำหนดไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว

การซ้อมบทครั้งในค่ำคืนแรกที่กันตชาติได้พบกับชายคนรัก เห็นได้ชัดว่ากันตชาติประสบความล้มเหลวในการสร้างประวัติชีวิตใหม่ที่ไม่มีท๊อป กันตชาติไม่สามารถควบคุมความปรารถนาของตนเองได้ เขาจึงต้องย้อนกลับไปหาอดีตในช่วงก่อนหน้าที่เขาจะได้พบกับชายคนรักเพื่อหักเหเส้นทางชีวิตไม่ให้ต้องมาพบกัน กติกาของเกมนี้บอกให้เขารู้ว่าถึงแม้เขาจะมีสิทธิ์เลือกได้ตามอำเภอใจ แต่เขาก็ไม่สามารถมีอิสระได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่เขาต้องการ เนื่องจากคนอื่นก็มีเสรีภาพที่จะเลือกได้เหมือนกัน อีกทั้งทุกอย่างที่เขากระทำได้ถูกวางกรอบไว้แน่นอนแล้วตามสติปัญญาและนิสัยที่เขามีมา เขาจึงไม่สามารถลบล้างความทรงจำของตัวเองที่มีติดตัวอยู่ตลอดชีวิตได้ ไม่ว่าอุบัติเหตุที่ทำให้เพื่อนรักเพื่อนแค้นต้องตาบอด ความลังเลที่จะจากรักครั้งแรกในชีวิตเพื่อไปเยี่ยมแม่ที่กำลังมีอาการอยู่ในขั้นวิกฤติ ความขัดแย้งกับพ่อเจ้าอารมณ์ การคบผู้หญิงเพื่อจะหลีกหนีความเป็นเกย์ของตนจนในที่สุดก็เป็นเหตุทำให้เธอต้องฆ่าตัวตาย ฯลฯ การทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้กันตชาติประจักษ์ว่าเขาได้เข้าไปมีส่วนพัวพันกับชีวิตของคนอื่นอย่างซับซ้อน อีกทั้งยังเปิดเผยให้เห็นถึงทัศนคติของเขาที่มีต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วย เช่น การที่เขาช่วยให้นักกีฬาชาวพม่าให้ลี้ภัยในขณะไปแข่งซีเกมส์ เขารู้สึกภาคภูมิใจเพราะเขาไม่ต้องทุ่มเทอะไรมากมายเท่ากับการซ้อมกระโดดน้ำ และไม่ต้องสูญเสียอะไรในชีวิตด้วย และการที่เขาไม่คิดป้องกันให้สาธิกาฆ่าตัวตายก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะจงใจปล่อยความบังเอิญให้เข้ามาตัดสินชะตากรรม ซึ่งเห็นได้ชัดจากคำพูดที่ว่า “ผมเคยชินกับความผิดพลาดของผมซะแล้วล่ะ” ที่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอและเฉื่อยชาผิดกับบุคลิกอันเชื่อมั่นในตอนแรกที่เขาพูดว่า “ถ้าเขาสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เขารู้แน่ชัดว่าจะทำตัวให้แตกต่างไปจากเดิมได้อย่างไร” กันตชาติจึงกลายเป็นเพียงคน ๆ หนึ่งที่ยอมประพฤติตัวซ้ำซากในขณะย้อนไปทบทวนและแก้ไขปมในอดีต มากกว่าจะเป็นผู้เรียนรู้และยอมรับความเจ็บปวดอันเนื่องมาจากการซื่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น

การซ้อมบทในช่วงที่สองแสดงให้เห็นถึงชีวิตอันแห้งแล้งระหว่างกันตชาติกับท๊อป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กันตชาติต้องการหลีกหนีให้พ้นเป็นที่สุด ท๊อปยังคงความเหนือกว่าและเป็นตัวของตัวเองมากกว่า ซึ่งนั่นเป็นการถ่ายทอดออกมาจากมุมมองของกันตชาติ เช่นเดียวกับตัวละครอื่น ๆ ที่ผุดขึ้นมาจากจิตสำนึกของเขา ท๊อปที่เราเห็นไม่ใช่ท๊อปตัวจริง ทั้งนี้เนื่องจากกันตชาติรู้สึกว่าเขาถูกผู้ชายคนนี้ข่มและบงการชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะหลงใหลได้ปลื้มผู้ชายคนนี้ไปด้วย และสิ่งเหล่านี้เองที่เราสามารถสัมผัสได้ตลอดเวลาในขณะอ่านประวัติชีวิตของ Greg Louganis โดยเฉพาะในบทที่เกี่ยวกับ “ทอม” ผู้เป็นทั้งคนรัก ผู้จัดการส่วนตัว และสาเหตุหลักแห่งหายนะในชีวิตของเขา และนี่คือที่มาของการจับเอาเรื่องราวในชีวิตของนักกีฬากระโดดน้ำผู้นี้ มาผสานกับบทละครเรื่อง Biografie: Ein Spiel ของ Max Frisch นั่นคือ ใช้มนต์สมมุติและอัจฉริยภาพของเวทีละครเพื่อให้ผู้ชายคนหนึ่งกระทำการ “ผ่าผิวน้ำ” ด้วยการให้เขาได้มีโอกาสเลือกใหม่ ถ้าเขารู้ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองตรงไหน และอย่างไร

ในความพยายามครั้งสุดท้ายของกันตชาติ ที่จะทลายแบบแผนอันซ้ำซากที่เป็นอยู่ก่อนหน้านั้น กันตชาติได้ตัดสินใจยิงท๊อปด้วยความขมขื่น เขาต้องใช้กระสุนปืนถึงห้านัดก่อนที่ความตั้งใจของเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในชีวิตได้ ซึ่งตัวกันตชาติเองก็ยอมรับในภายหลังว่าเป็นเพราะคำพูดของท๊อปที่มักจะบอกซ้ำ ๆ ว่า “ตอนบ่ายผมอยู่ที่ยิม” นั้นยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของเขาตลอดเวลา เขาจึงยิงประโยคนี้เพื่อให้มันลบเลือนหายไป แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ล้มเลิกความตั้งใจนี้ เพราะความรักที่เขามีต่อท๊อป ถึงแม้จะแฝงไปด้วยความเจ็บปวด หึงหวง และเกลียดชังมากเพียงใด แต่ก็มีพลังเกินกว่าจะไปตรวจสอบด้วยเรื่องที่สมมุติขึ้นมาได้

ดังนั้นกันตชาติจึงแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยในช่วงชีวิตที่เขาอยู่ร่วมกับท๊อป ทั้งนี้อาจเป็นเพราะอดีตนั้นเปลี่ยนยากเกินไป เขาจึงเหลือแต่ความแก่ชรากับความตายอันเนื่องมาจากโรคเอดส์ที่เขาติดจากใครมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อกันตชาติหยุดเล่นเกมประวัติชีวิต เขาจึงยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “เขากลัวความตายอย่างช้า ๆ เขากลัวที่จะต้องรอ” ด้วยเหตุนี้ “ผู้กำกับ” ซึ่งรู้เฉพาะสิ่งที่กันตชาติรู้ จึงสามารถเปิดเผยและเสนอแนะทางเลือกต่าง ๆ ที่กันตชาติมีอยู่ได้ ทำให้กันตชาติสารภาพกับท๊อปเป็นครั้งแรกว่า “เราต่างประเมินกันและกันต่ำเกินไป ทำไมเราต้องดูถูกกันด้วยนะ ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เราเสื่อมถอยด้อยค่ากันไปหมด หรือคนเราจะรู้จักกันเพียงในสภาพนี้เท่านั้น” ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ความตั้งใจของกันตชาติ สามารถเอาชนะจิตสำนึกที่เป็นเพียงการแสดงได้ โดยการซ้อมบทได้กลับมายังจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เมื่อผู้กำกับเปิดโอกาสให้ท๊อปได้เริ่มใหม่บ้าง เขาก็ได้ใช้แค่โอกาสที่เขาได้รับมานี้ทำตัวให้แตกต่างไปจากเดิม ด้วยการเลือกที่จะเดินออกไปจากบ้านของกันตชาติในคืนนั้น แน่นอน ในกรณีนี้ท๊อปสามารถทำได้เพราะเขาเป็นเพียงภาพสะท้อนที่ออกมาจากมุมมองของกันตชาติ เมื่อเขาถูกปลดปล่อยออกจากกติกา เขาจึงมีอิสระที่สามารถทำได้ทุกอย่างตามตัวตนที่เขาเป็น

ละครเรื่องนี้อาจจะเรียกได้ว่าจัดอยู่ในหมวด “ละครแห่งจิตสำนึก” ซึ่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสร้างขึ้นมาให้เป็น “ละครเชิงสารคดีชีวประวัติ” หรือ “ละครเลียนแบบเรื่อง” ที่มุ่งเสนอข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของนักกีฬากระโดดน้ำชื่อดัง ตามแบบแผนหรือหลักเกณฑ์ของการดัดแปลงบทที่เคยมีการทำวิจัยและยึดถือปฏิบัติกันมา(นาน) สิ่งที่น่าสนใจจึงไม่ใช่ชีวประวัติของกันตชาติที่นำเค้าโครงเหตุการณ์หรือรายละเอียด (ทั้งหมดหรือบางส่วน) มาจากเรื่องราวต่าง ๆ ในประวัติชีวิตของ Greg Louganis หากเป็นทัศนคติของตัวละครกันตชาติที่มีต่อประวัติชีวิตของตนเอง ซึ่งนั่นก็พ้องกับที่ Max Frisch ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายของบทละครเรื่อง Biografie: Ein Spiel” ว่า... “ละครเรื่องนี้เล่นบนเวที ผู้ชมไม่ควรเข้าใจไปว่าเป็นสถานที่ใด ๆ ที่มีลักษณะเหมือนเวทีละคร ที่นี่จะมีเหตุการณ์ที่เป็นไปได้เฉพาะแต่ในละครเท่านั้น เหมือนกับที่น่าจะเป็นไปได้ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง เพราะฉะนั้นเนื้อหาของละครเรื่องนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ประวัติของกันตชาติซึ่งออกจะธรรมดา หากอยู่ที่พฤติกรรมของเขาที่มีต่อสภาพความเป็นจริงที่ว่า มนุษย์ทุกคนที่มีความผูกพันกับเงื่อนเวลา ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีประวัติชีวิตของตนชุดหนึ่ง ละครเรื่องนี้จึงมิได้แสดงถึงเหตุการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น แต่เป็นการทบทวนเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งคล้ายกับการเล่นหมากรุกตอนที่เราตั้งตัวสำคัญที่เราเดินพลาดไปขึ้นมาใหม่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเราจะสามารถเดินหมากแบบอื่นได้หรือไม่อย่างไร ... ละครเรื่องนี้ไม่ต้องการพิสูจน์อะไรทั้งสิ้น ...”

นอกจากนี้ Frisch ยังได้กล่าวไว้อีกว่า “ผู้กำกับที่เป็นผู้ดำเนินเรื่องไม่ได้เป็นตัวแทนของอำนาจเหนือมนุษย์ใด ๆ เขาพูดในสิ่งที่กันตชาติรู้อยู่แล้วหรือสามารถรับทราบได้ทั้งสิ้น เขาไม่ใช่พิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการเพราะเขาไม่ได้หันมาพูดอะไรกับผู้ชมเลย แต่เขาเป็นคนช่วยให้กันตชาติได้คิดรอบด้านมากยิ่งขึ้น และไม่เริ่มจากตัวเองหรือคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ถ้าหากผู้กำกับ (ซึ่งที่จริงไม่มีใครเรียกเขาด้วยตำแหน่งนี้หรือชื่อตำแหน่งอื่นใดตลอดทั้งเรื่อง) จะเป็นตัวแทนของอำนาจใดละก็ คงเป็นอำนาจของละครที่อนุญาตให้เราทำสิ่งที่เราไม่สามารถทำในความเป็นจริงได้ นั่นคือ การได้มีโอกาสทำซ้ำ ทดลอง เปลี่ยนแปลง และด้วยวิธีการนี้ แน่นอน เขาก็มีอำนาจอยู่ในระดับหนึ่ง บทที่เขาใช้อยู่นั้นไม่ใช่บันทึกประจำวันที่กันตชาติเขียนเอาไว้ และก็ไม่ใช่แฟ้มบันทึกของหน่วยงานใดเก็บรวบรวมเอาไว้ด้วย แต่บทนี้มีอยู่แล้วในจิตสำนึกของกันตชาติ และไม่ว่าจะมีการบันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดสามารถรวมกันได้จนกลายเป็นประวัติเรื่องราวของเขา เป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งกันตชาติเองก็ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นไปได้ การเปลี่ยนสลับแสงไฟระหว่างไฟละครกับไฟทำงานบนเวที ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนสลับระหว่างภาพมายากับความเป็นจริง แต่ไฟละครหมายถึงขณะนั้นกำลังเป็นการลองสิ่งที่อาจเป็นไปได้อีกทางหนึ่งที่แตกต่างไปจากสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ (ซึ่งไม่ได้ปรากฏบนเวทีเลย) ดังนั้นละครเรื่องนี้จึงเป็นการทดลอง และเมื่อกันตชาติเดินออกมาจากฉากใดฉากหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ออกมาอย่างตัวแสดงตัวหนึ่งในเรื่อง แต่เขาเป็นกันตชาติ และอาจเป็นไปได้ว่าในตอนนั้นตัวเขาจะยิ่งดูน่าเชื่อมากยิ่งขึ้น นั่นคือ ไม่มีฉากใดเหมาะสมถูกใจเขาจนทำให้เห็นว่าไม่อาจเป็นอย่างอื่นไปได้ มีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นไปได้ ... ผมตั้งใจให้ละครเรื่องนี้เป็นสุขนาฏกรรม”

เรียบเรียงจาก The Plays of Max Frisch โดย Michael Butler
โดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์

“ผ่าผิวน้ำ” แปลต้นฉบับจากภาษาเยอรมันโดย เจนจิรา เสรีโยธิน, ปานรัตน กริชชาญชัย และจากภาษาอังกฤษโดย กฤษณะ พันธุ์เพ็ง สร้างบทและกำกับการแสดงโดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ นำแสดงโดย กฤษณะ พันธุ์เพ็ง, นพพันธ์ บุญใหญ่, สุเกมส์ กาญจนกันติกุล ร่วมด้วยนักแสดงละครเวทีอีกคับคั่ง อาทิ เกรียงไกร ฟูเกษม, ปานรัตน กริชชาญชัย, ศุภฤกษ์ เสถียร, สาธิกา โภคทรัพย์, ณัฐกานต์ ภู่เจริญศิลป์ และ ช่อลดา สุริยะโยธิน

จัดแสดง ณ Crescent Moon Space สถาบันปรีดี พนมยงค์
ทุกคืนเวลา 19.30 น. (เว้นคืนวันจันทร์) ตั้งแต่วันที่ 13 ถึง 25 พฤษภาคม 2551
จองบัตรได้ที่โทร 086 787 7155 และ 089 600 2295 (รับผู้ชมจำนวนจำกัดเพียง 40 คนต่อรอบเท่านั้น)

หมายเหตุ: ละครเรื่องนี้มีความยาว 2 ชั่วโมง ไม่รวมพักครึ่ง 10 นาที

Monday, 5 May 2008

ผ่าผิวน้ำ



“ถ้าคนเราสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง...เราทุกคนรู้ดีว่าจะเปลี่ยนแปลงมันตรงไหน”

New Theatre Society เสนอ


เกมโชว์อัจฉริยภาพแห่งเวทีละคร ที่จะพาเราย้อนไปแก้ปมอดีตของ...
กฤษณะ พันธุ์เพ็ง
นพพันธุ์ บุญใหญ่
สุเกมส์ กาญจนกันติกุล

ในผลงานสุขนาฏกรรมแนวใหม่โดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์


"ผ่าผิวน้ำ"
Breaking the Surface

เค้าโครงเรื่องจากชีวประวัติของ Greg Louganis นักกระโดดน้ำโอลิมปิก
และบทละคร Biography: a Game ฉบับปี 1984 โดย Max Frisch

ร่วมด้วยนักแสดงที่เคยสร้างความประทับใจมาแล้วจาก
“ตาดูดาวเท้าเหยียบเธอ” และ “กลรักเกมเลิฟ”
เกรียงไกร ฟูเกษม, ปานรัตน กริชชาญชัย,
ศุภฤกษ์ เสถียร, สาธิกา โภคทรัพย์,
ณัฐกานต์ ภู่เจริญศิลป์ และ ช่อลดา สุริยะโยธิน

จัดแสดง ณ Crescent Moon Space สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ
รอบปฐมทัศน์ พุธที่ 7 พฤษภาคม 2551 เวลา 19.30 น.
รอบปกติ วันอังคารที่ 13 ถึงอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2551 เวลา 19.30 น.
* แสดงทุกคืน เว้นคืนวันจันทร์

13-14-15 พฤษภาคม บัตรราคา 200 บาท นักเรียน/นักศึกษา 100 บาท
16-17-18 พฤษภาคม บัตรราคา 250 บาท นักเรียน/นักศึกษา 150 บาท
20-21-22 พฤษภาคม บัตรราคา 300 บาท นักเรียน/นักศึกษา 200 บาท
23-24-25 พฤษภาคม บัตรราคา 350 บาท นักเรียน/นักศึกษา 200 บาท

(หมู่คณะ 10 คนขึ้นไป และ สมาชิก http://newtheatresociety.hi5.com/ รับส่วนลด 10%)

จองบัตรได้แล้ววันนี้ที่โทร 089 600 2295 และ 086 787 7155

รับผู้ชมจำนวนจำกัด เพียง 40 คนต่อรอบ เท่านั้น


Sunday, 13 April 2008

Nopphan's toon



การ์ตูนช่องของนายนพพันธ์

Thursday, 10 April 2008

Welcome to Nothing

w e l c o m e t o n o t h i n g






"d o n 't t h i n k j u s t f e e l"



Thursday, 3 April 2008

Welcome to Nothing (new poster)



Welcome to Nothing



“ DON'T THINK – JUST FEEL!!”

มันไม่เกี่ยวกับอะไรซักอย่าง แต่ในเวลาเดียวกัน มันเกี่ยวกับทุกๆอย่าง Welcome to nothing เป็นการ์ตูนที่นพพันธ์เขียนขึ้นมาปีที่แล้ว ละครเรื่องนี้มีคอนเซปมาจากการ์ตูน เป็นเรื่องราวหลายๆตอนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มีตัวละครหลายตัว สภานการณ์หลายแบบ หลายรส หลายอารมณ์


“ สุดยอดของสาระ คือไร้สาระ ”

ละครเวทีโดย นพพันธ์ บุญใหญ่


นักแสดงคือผู้ชายสามคน - นพพันธ์ บุญใหญ่ / เกรียงไกร ฟูเกษม / กีรติ ศิวะเกื้อ


25, 26, 27 เมษายน – ศุกร์ 19.30 เสาร์ – อาทิตย์ 14.30 และ 19.30

2, 3, 4 พฤษภาคม – ศุกร์ 19.30 เสาร์ – อาทิตย์ 14.30 และ 19.30

(รวม 10 รอบ)

แสดงที่ ละครโรงเล็ก Crescent Moon Space

สถาบัน ปรีดี พนมยงค์ สุขุมวิท 55 ซอยทองหล่อ


บัตร 300 บาท นักศึกษา 250 บาท

สอบถามรายละเอียด : 086 814 1676


Tuesday, 18 March 2008

Welcome to nothing




Welcome to nothing

“ DON'T THINK – JUST FEEL!!”


มันไม่เกี่ยวกับอะไรซักอย่าง แต่ในเวลาเดียวกัน มันเกี่ยวกับทุกๆอย่าง Welcome to nothing เป็นการ์ตูนที่นพพันธ์เขียนขึ้นมาปีที่แล้ว ละครเรื่องนี้มีคอนเซปมาจากการ์ตูน เป็นเรื่องราวหลายๆตอนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มีตัวละครหลายตัว สภานการณ์หลายแบบ หลายรส หลายอารมณ์

“ สุดยอดของสาระ คือไร้สาระ ”

นักแสดงคือผู้ชายสามคน - นพพันธ์ บุญใหญ่ / เกรียงไกร ฟูเกษม / กีรติ ศิวะเกื้อ
ละครเวทีโดย นพพันธ์ บุญใหญ่

25, 26, 27 เมษายน – ศุกร์ 19.30 เสาร์ – อาทิตย์ 14.30 และ 19.30
2, 3, 4 พฤษภาคม – ศุกร์ 19.30 เสาร์ – อาทิตย์ 14.30 และ 19.30
(รวม 10 รอบ)

แสดงที่ ละครโรงเล็ก Crescent Moon Space
สถาบัน ปรีดี พนมยงค์ สุขุมวิท 55 ซอยทองหล่อ
ราคาบัตร 300 บาท นักศึกษา 250 บาท

สอบถามรายละเอียด : 086 814 1676
Email: inseadang@hotmail.com

Saturday, 8 March 2008

ข่าวละคร "หยดเลือดที่เหือดหาย"

ข่าวละครเรื่อง "หยดเลือดที่เหือดหาย"
จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 6 มีนาคม 2551 คอลัมน์ ผู้หญิง-คนรุ่นใหม่ หน้า 25





"หยดเลือดที่เหือดหาย"
ละครปลุกวิญญาณ...หญิงต้องกล้า


พลังคนรุ่นใหม่ เป็นพลังที่เปี่ยมไปด้วยแรงอุดมการณ์ ซึ่งอุดมการณ์นั้นไม่จำเป็นต้องสะท้อนออกมาในรูปแบบของกิจกรรมทางการเมือง ทางการเป็นอาสาสมัครพัฒนาชนบท

หากสะท้อนออกมาได้ทุกรูปแบบ

อย่างอุดมการณ์ของ "นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะอักษรศษสตร์ เอกศิลปะการละคร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ที่สะท้อนอุดมการณ์ออกมาในรูปแบบของ "ละครเวที"

หนึ่งในนักแสดงนำ นางสาวปัญญพร สุทัศน์กุล หรือ ปันปัน อายุ 20 ปี เริ่มเล่าที่มาที่ไปของละครเวทีแนวดราม่านี้ว่า ละครเวทีเรื่องนี้เกิดขึ้นจากการสังเกตว่า ขณะนี้วงการละครเวทีเมืองไทยมีแต่ละครที่สร้างขึ้นเพื่อ "ขำ" อย่างดียว เธอและเพื่อนจึงอยากทำละครที่มีเนื้อหาสาระที่ให้อะไรกับผู้ชมมากกว่าแต่ความบันเทิง

"ทุกปีนิสิตเอกศิลปะการละครต้องทำละครเวทีเพื่อเข้าร่วมแสดงในเทศกาลละครกรุงเทพ แต่ก่อนฟันธงว่าจะแสดงเรื่องอะไร เรามานั่งคุยกันว่า เราไม่อยากแสดงละครที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ชมหัวเราะอย่างเดียว ในฐานะนักเรียนการแสดง เราถือว่าละครเวทีเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งความหมายของศิลปะคือสิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อจรรโลงจิตใจมนุษย์ให้ดีงาม เราจึงไม่อยากให้คนที่มาดูละครของเรา เสียค่ารถมาดูละครแค่ขำๆแล้วกลับบ้าน ไม่มีอะไรกลับไปประเทืองปัญญา ถ้าเป็นอย่างนี้ เรารู้สึกว่าอย่าเสียค่ารถมาเลย เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน ไม่คุ้ม"

พอตกลงใจกันว่าจะแสดงละครแนว "ประเทืองปัญญา" เธอและเพื่อนทั้งคณะที่มีกันเพียง 10 ชีวิต จึงหยิบบทละครเรื่อง "Hunger" หรือ "หยดเลือดที่เหือดหาย" ของ โฮป แมคอินไทน์ มาแสดง

ปันปัน ผู้สวมบทบาทเป็น "เจสสิก้า" บอกว่า จุดประสงค์ของการสร้างละครเรื่องนี้คือยกย่องความกล้าหาญของผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม ผ่านเรื่องราวของ "เจสสิก้า คาร์เตอร์" ทนายความและนักสิทธิมนุษยชน ชาวอเมริกันที่ลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจรัฐหลังจากที่สามีซึ่งเป็นหัวหน้ากองโจรในกัวเตมาลาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เธอทำทุกอย่างเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตนเองและสามี

"เจสสิก้าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากพยายามกัดฟันสู้ถึงกับอดอาหารประท้วงรัฐบาลจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ละครเรื่องนี้สะท้อนให้รู้ว่า ผู้หญิงไม่โง่นะ ไม่ใช่คนที่ใครพูดอะไรก็เชื่อ ผู้หญิงทำได้ทุกอย่าง และกล้าที่จะลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิอันพึงทีพึงได้ของตัวเอง"

นอกจาก "ยกย่องสตรี" นิสิตเอกการละคร รั้วจามจุรี ยังสอดแทรกแง่คิดเกี่ยวกับสังคมด้วย

"จุดจบของละครคือความว่างเปล่า เจสสิก้าไม่ได้อะไรเลยจากการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ผู้ชมดูแล้วจะรู้ว่านี่คือภาพสะท้อนของสังคมไทย ในขณะที่เราบอกว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิออกมาเรียกร้องอะไรกับรัฐก็ได้ แต่ก็ทำได้แค่เรียกร้อง เพราะสุดท้ายรัฐก็ไม่เห็นช่วยอะไรเลย ประชาชนก็ยังคงต้องอยู่ต้องสู้ด้วยตนเอง มีชีวิตความเป็นอยู่ไปตามยถากรรม"

ปิดท้าย ปันปัน บอกว่า อยากให้ผู้หญิงที่มาดูละครเรื่องนี้เข้มแข็งและกล้าหาญเหมือนเจสสิก้า ส่วนผู้ชายอยากให้ยอมรับและให้เกียรติผู้หญิง เพราะไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็มีความเป็นมนุษย์เท่าๆกัน

ละครเวที “Hunger” จะเปิดการแสดงในวันที่ 14-16 มีนาคม และวันที่ 21-23 มีนาคม ที่โรงละครพระจันทร์เสี้ยว สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่ควรค่าต่อการติดตามชม