welcome to crescent moon space

welcome to crescent moon space
small but beautiful small alternative space for theatre lovers

Sunday, 1 August 2010

Crescent moon space : Aug 2010

Baby Mime proudly presents



Little Mime Project 2





ละครใบ้ใกล้ชิดแบบลมหายใจ อุ่นกลิ่นไออบอวลฉุนเฉียว



12-22 August 2010 / 12-22 สิงหาคม 2553
Showtime 7:30 pm. (sat-sun add 2:00pm.) / รอบเวลา 19.30 น. (เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มรอบ 14.00 น.)

@ Cresentmoon space
Pridi Banomyong Institute
Bts: thong lor

Ticket 300 baht.
Reserve: 081-444-7034





รีบมาจองความสนุกกันนะครับ
รอบนึงจุได้แค่ 40 คนเท่านั้นนะครับ
ช้าหมดอดสนุกนะครับ


Thursday, 29 July 2010

บทวิจารณ์ "เด๊ดสะมอเร่"

บทวิจารณ์ “DeadSaMoRe”
เขียนโดย อภิรักษ์ ชัยปัญหา
ข้อมูลจาก Madame FIGARO เดือนกรกฎาคม 2553



“การมีความทรงจำเลอเลิศแต่ ‘หลอกๆ’
กับไร้ความทรงจำ อะไรเจ็บปวดกว่ากัน”


ต้องยอมรับว่า นพพันธ์ บุญใหญ่ เป็นนักการละครสมัยใหม่ที่ขยันมากที่สุด ไฟแรงมากที่สุดในยุคนี้...เพียงผ่านมาครึ่งปี เขามีผลงานมาให้เราชมในปีนี้เป็นเรื่องที่สองแล้ว เรื่องแรกเขาทำงานกับคนรัก แต่เรื่องใหม่นี้เขาทำงานเดี่ยว เขียนบทละคร กำกับการแสดง และแสดงนำ
นับตั้งแต่ละครเรื่องแรกของเขาเมื่อสามปีก่อนจนถึงวันนี้ เขาผลิตผลงานละครเวทมีมาแล้ว 6 เรื่อง ไม่นับรวมผลงานย่อยๆที่เขาไปร่วมแจมกับเพื่อนศิลปินในสาขาอื่นๆ ผลงานของเขาสร้างแรงสะเทือนให้กับวงการละครเวทีร่วมสมัยไม่น้อย ด้วยมีทั้งผู้ชมที่ชื่นชมผลงานของเขาอย่างมากและขณะเดียวกันก็มีคนไม่ชอบผลงานของเขาเลย แต่ถึงกระนั้นงานทุกชิ้นของเขาก็กลายเป็นสิ่งที่ “ต้องดู” เสมอ


เด๊ดสะมอเร่ เป็นละครอีกเรื่องหนึ่งที่นพพันธ์ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบ แอ๊บเสริ์ด (absurd) คือการเล่าเรื่องของชีวิตที่ดูราวกับเป็นเรื่องตลกขบขันไร้สาระไม่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งการเสพละครประเภทนี้ ข้อดีคือดูในระดับความบันเทิงก็ได้ เพราะนพพันธ์จัดมุขตลกร่วมสมัยเอาไว้ในละครของเขาเพียบ หรือจะดูในระดับลึกขึ้นอีกหน่อยก็ได้ เพราะนพพันธ์มีพื้นฐานเป็นนักนักอ่าน นักเสพงานศิลปะ ดังนั้นงานของเขาจึงเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ และการจัดวางเอาไว้เพื่อตีความเสมอ...



เด๊ดสะมอเร่ เล่าเรื่องชีวิตหลังความตายที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวของชายหนุ่มนักทำงานโฆษณา (นพพันธ์ บุญใหญ่) ที่ต้องประสบอุบัตืเหตุเสียชีวิตพร้อมๆกับกิ๊กของเขา เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็พบกับชายลึกลับตนหนึ่ง (กีรติ ศิวะเกื้อ) ที่มารอรับเขาอยู่ และจะพาขำปไหนสักแห่ง แต่จู่ๆก็ปรากฏหญิงสาวลึกลับชุดขาวอีกคนหนึ่งที่ต้องการมาพาตัวเขาไปอีกแห่ง และในระหว่างที่ชายหญิงคู่นี้กำลังแย่งตัวเขาอยู่ เขาก็ได้มาพบกับฮิปปี้หนุ่ม (สายฟ้า ตันธนา) ผู้ออกมาวิพากษ์ปรัชญาการเมืองพร้อมๆกับจัดวางเครื่องปฐมพยาบาล ที่พอจัดเสร็จก็เก็บคืน แล้วจากไป และวิญญาณลามะเร่ร่อน (พลัฏ สังขกร) ที่อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นจะมากินเขาเสียอย่างนั้น


ประเด็นท้าทายของละครเรื่องนี้ไปอยู่ตรงที่ชายชุดดำและหญิงชุดขาวต้องการให้เขากรอกข้อมูลในแบบฟอร์มเพื่อเลือกความทรงจำที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิต เพื่อจะได้ติดตัวเขาไปในชีวิตใหม่...แต่เขาเลือกไม่ได้ เพราะเขายืนยันว่าไม่มี!


แต่กระนั้นเขายังมีความฝัน นั่นคือการได้รับรางวัลออสการ์และกล่าวขอบคุณบุคคลต่างๆ ดังนั้นชายลึกลับและหญิงลึกลับ จึงช่วยกันจำลองความฝันของเขาให้ออกมาเป็นภาพเสหมือนจริง จากนั้นเขาก็พร้อมจะออกเดินทาง ไปอีกโลกหนึ่งพร้อมๆกับความทรงจำ “เทียม” ติดตัวไปด้วย... เจ็บไหมครับ!


ละครเลือกเล่าความตายในแบบทีเลานทีจริง ตั้งแต่การยืมชื่อ “เด๊ดสะมอเร่” มาจากคุณเทิ่ง สติเฟื่อง พิธีกรรายการทีวียุคคุณยายมาใช้ การเล่นกับกติกาในโลกหลังความตายในแบบที่ไม่ได้เป็นกฏเกณฑ์เรื่องจักรวาลที่เรคุ้นเคย ซึ่งเต้มำปด้วยความกำกวม คลุมเครือ แต่ขระเดียวกันความลุ่มหลงบรรยากาศในอดีตของนพพันธ์ ก็ยังฉายออกมาเต็มละคร ผ่านสไลด์ที่เขาฉายเป็นฉาก เพลงประกอบที่เขานำเพลงประกอบภาพยนตร์เก่าๆ รวมทั้งการจตั้งชื่อ



นพพันธ์เลือกใช้เทคนิคการเล่าเรื่องน้องลงกว่าผลงานชิ้นก่อนๆ แต่ในด้านบท ผมกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไปได้ลึกกว่าผลงานชิ้นก่อนๆพอสมควร การออกแบบแสงที่น้อยแต่มีประสิทธิภาพมากช่วยให้เรื่องดูมีมิติและเหงาหม่น อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องจะเน้นความไม่สมจริง แต่ผมก็ยังอยากเห็น “ความจริง” ที่ตัวละครเชื่อ ออกมาพร้อมกับการแสดงที่ดูไร้สาระนั้น เหมือนกับที่สายฟ้าได้ให้การแสดงที่ดีเยี่ยมในเรื่องนี้ไว้จากตัวละครอื่นๆเพิ่มขึ้น ในการรีเสตจครั้งต่อไป


ดูละครเรื่องนี้จบ ผมไม่ได้กลัวความตาย... แต่ผมกลัวการตายอย่างไร้ความทรงจำที่มีค่ามากกว่า....


ขอขอบคุณ

คุณอภิรักษ์ ชัยปัญหา และ Madame Figaro


Monday, 12 July 2010

บทวิจารณ์ "ช่อมาลีรำลึก"

บทวิจารณ์นี้มาจากบล๊อกของ ช้าง กระทืบโลง อีกแล้ว ตามอ่านเกี่ยวกับเจ๊ช่อแพ่อตุ๊กติ๊กได้เลย ณ บัดนี้ หากใครอยากอ่านวิจารณ์เรื่องอื่นๆของ ช้าง กระทืบโลงไปตามอ่านต่อได้ที่นี่
http://chor-chang-review.blogspot.com/


คำประกาศอิสรภาพของ “แม่บ้าน”

ชื่อ ช่อมาลี แสงสุริยา
อายุ 42 ปี
สถานภาพ สมรส บุตร 2 คน

เธอก็คงไม่ต่างจากผู้หญิงไทยมากมาย หรือจะว่าไป ก็คงคล้ายๆ กับผู้หญิงอีกหลายร้อยล้านคนบนโลกกลมๆ ใบนี้

เธอไม่ใช่คนเด่นคนดัง เป็นคนธรรมดาๆ บ้านๆ อะไรแบบนั้น
หรืออาจเรียกว่าเธอเป็น “เจ๊ข้างบ้าน” (“The Jeh” next door) ตัวจริงก็ย่อมได้

จากเด็กผู้หญิง “ทั่วไป” ที่ไม่ได้หน้าตาสะสวย หรือเรียนเก่งอะไร จนเมื่อเธอมีคำตอบให้แก่ครูภูมิศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง แล้วครูกลับไม่เชื่อว่าเธอตอบได้ด้วยตัวเอง ช่อมาลีจึงผันตัวเองไปเป็น “เด็กหลังห้อง” ใส่ชุดนักเรียนคับติ้ว ปากเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ และก่อวีรกรรมสารพัด เช่นการกระโดดลงจากหลังคา แล้วเธอก็เติบโตขึ้นมา ดำเนินชีวิตต่อไปตามอย่างที่คนปกติ “เขาเป็นกัน” คือมีคนรัก แต่งงาน สร้างบ้าน มีลูก เลี้ยงลูก ดูแลผัว ฯลฯ

เมื่อเธอรู้ตัวอีกที หนุ่มสาวคู่นั้นที่เคยรักกันสวีทหวาน ร่วมกันสร้าง “วิมานสีชมพู” ก็พลันหายตัวไประหว่างทาง ทิ้งไว้แต่คนคนแปลกหน้าสองคน ซึ่งต้องบังเอิญมาใช้ชีวิตในพื้นที่เดียวกันเป็นบางเวลา มีให้กันก็แต่ความเงียบ หรือไม่ก็วาจาเชือดเฉือน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ช่อมาลีใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตแม่บ้านไปกับการพูดคุยกับฝาบ้าน

จนมาวันหนึ่ง ตุ๊กติ๊ก เพื่อนสาวโสดรุ่นน้องที่สนิทสนมกันมานาน ก็ทะลวงทลายชีวิตเปล่าดายของช่อมาลีลง ด้วยการชักชวนเธอให้ “หนี” ไปกรีซด้วยกัน 2 อาทิตย์ โดยตุ๊กติ๊
กจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เพื่อที่จะได้ไป “ในที่แปลกๆ ที่พูดภาษาของแ _่งไม่ได้...” (ตามคำของตุ๊กติ๊ก)

โลกที่ช่อมาลี แม่บ้านวัยกลางคน คุ้นเคย จำเจ และเบื่อหน่าย จึงถึงแก่กาลอวสานลง...

ช่อมาลีรำลึก สร้างตัวละคร ช่อมาลี แสงสุริยา (เยาวลักษณ์ เมฆกุลวิโรจน์) ขึ้นมา อย่างที่ทำให้ผู้ชมเชื่อสนิทใจ ว่าเธอเป็น “เจ๊” คนนั้นจริงๆ ทั้งด้วยคาแร็คเตอร์ การแต่งเนื้อแต่งตัว (รวมถึงการพูดไม่ชัดในบางคำ) และการแสดงที่ดูเหมือนไม่ได้แสดง เยาวลักษณ์ทำให้เรารู้สึกคุ้นเคย และคลับคล้ายคลับคลา ว่าเราเองก็รู้จักคนแบบนี้ตัวเป็นๆ อยู่ด้วย

ตรงกันข้ามกับปานรัตน กริชชาญชัย ที่รับบท “ตุ๊กติ๊ก” เธอมีวิธีการแสดงอีกแบบหนึ่ง ที่ดูลอยๆ เหนือจริง และมักพรั่งพรูคำพูดเชือดเฉือนออกมาหน้าตาเฉย นอกจากนั้นแล้ว ปานรัตนยังทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งกำกับการแสดง เขียนบท และรับบทเป็นตัวละครอื่นๆ ในเรื่องด้วย ตั้งแต่คุณครูวิชาภูมิศาสตร์ ภาวิณี เพื่อนแสนสวยแสนเก่งจากวัยเยาว์ ที่ผันตัวไปเป็นกะหรี่ข้ามชาติ เจ๊เกียว เพื่อนบ้านแบรนด์เนมจอมจุ้น และเก๋ ลูกสาววัยรุ่นของช่อมาลี

ในบทละครของ ช่อมาลีรำลึก กล่าวซ้ำๆ เรื่องการเดินทางที่ล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นบทพูดยาวเหยียด ว่าด้วยซิกมันด์ ฟรอยด์ และความสุขสมในชีวิตทางเพศของผู้หญิง ที่ไม่เคยได้รับจากผู้ชาย เปรียบเทียบกับการนั่งรถเมล์สาย 8 (สะพานพุทธ – แฮปปี้แลนด์) จะไปดอยช้างม่อย ซึ่งไม่มีวันไปถึง คำบอกเล่าของช่อมาลี ถึงละครวันคริสต์มาสที่โรงเรียนของลูก เมื่อไก๋ ลูกชายของเธอ ตัดสินใจเปลี่ยนบทพูดของยอแซฟ จนทำให้ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ถึงนครเบธเลเฮม จนมาสรุปลงที่การเดินทางไปกรีซ ที่ทำท่าว่าจะล่มไปเสียก่อน เพราะช่อมาลีไม่กล้าพอที่จะลุกขึ้นหนีไปจากชีวิตเดิมๆ ของเธอ แต่แล้ว การตัดสินใจไปกรีซ ก็ทำให้เธอได้ค้นพบตัวตนอีกครั้งหนึ่ง หลุดไปจากบทบาทแม่หรือเมีย ตลอดจนปมต่างๆ ในชีวิตที่ถูกกดทับเอาไว้ กลายเป็นปัจเจกชนที่เป็นไท เป็นอิสระ อีกครั้งหนึ่ง

น่าสนใจว่า ตลอดทั้งเรื่อง ช่อมาลีจะเป็นฝ่ายพูดคนเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่บ้าน เธอก็พูดคุยกับข้างฝา แม้เมื่อเธออยู่ร่วมฉากกับตุ๊กติ๊ก ก็ดูเหมือนว่าต่างคนต่างพูด และไม่ใช่บทสนทนา (dialogue) ทว่าเป็นบทพูดคนเดียว (monologue) ของเธอเสียมากกว่า จนทำให้เราอาจตั้งข้อสงสัยได้ว่า จริงๆ แล้ว “ตุ๊กติ๊ก” (ตุกติก ?) มีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงภาพในใจของเจ๊ช่อ เป็นสิ่งที่เธอเองอยากเป็นอยากมีเสมอมา แต่ไม่เคยกล้าพอที่จะเลือก

อย่างที่จะเห็นว่า ขณะที่ช่อมาลีถูกเรียกขานด้วยชื่อจริง พร้อมนามสกุล ตลอดเวลา แต่ตุ๊กติ๊กกลับมีชื่อเรียกอยู่เพียงแค่นั้นตลอดทั้งเรื่อง ยิ่งกว่านั้น เมื่อเจ๊แกตัดสินใจขึ้นเครื่องบินไปกรีซ ตุ๊กติ๊กที่ไปด้วยกันก็ขอแยกตัวไปกับหนุ่มที่รู้จักกันบนเครื่องบิน ก่อนจะกลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อช่อมาลีกำลังลังเลใจว่าเธอจะทำอย่างไรกับชีวิตดี สุดท้าย เมื่อถึงวันกลับ ที่สนามบิน ตุ๊กติ๊กเองกลับเป็นฝ่ายแยกจากเธอไป เมื่อเจ๊ช่อไม่ยอมกลับเมืองไทย แต่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตใหม่ของเธอที่นั่น นั่นก็คือ ตุ๊กติ๊กก็คือตัวตนอีกภาคหนึ่งของช่อมาลี ดังนั้น เมื่อเธอได้ประกาศอิสรภาพให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ตุ๊กติ๊กจึงไม่จำเป็นสำหรับชีวิตของเธออีกต่อไป

ถ้าทั้งหมดนี้ จะทำให้ฟังดูเหมือนว่า ช่อมาลีรำลึก เป็นละครเฟมินิสม์จ๋า พาเครียดหดหู่ ก็ต้องปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่จริงเล้ยยย... ละครเรื่องนี้ “ตลกมาก” (ขอบอก) และ “แร็งงง” อย่างฮา แฟนละครประเภทที่ชอบบทเสียดสี ขบกัด เย้ยหยันอย่างร้ายลึก น่าจะรักละครเรื่องนี้ได้โดยง่าย


ช่อมาลีรำลึก
New Theatre Society
ได้รับแรงบันดาลใจจากบทละคร Shirley Valentine ของ Willy Russell (บทดั้งเดิมได้รับรางวัล Best Comedy ของ Laurence OIivier Awards 1998) และกลอนชื่อ Waiting ของ Faith Wilding
นักแสดง เยาวลักษณ์ เมฆกุลวิโรจน์ / ปานรัตน กริชชาญชัย
กำกับการแสดง/เขียนบท ปานรัตน กริชชาญชัย


Cresentmoon Space สถาบันปรีดี พนมยงค์
26 – 30 สิงหาคม, 2 – 6 กันยายน 2552
เผยแพร่ครั้งแรกใน นิตยสาร Vote ปีที่ 5 ฉบับที่ 110 ปักษ์หลัง มกราคม 2553
เขียนโดย ช้าง กระทืบโรง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
http://chor-chang-review.blogspot.com/


Sunday, 11 July 2010

บทวิจารณ์ "วอเตอร์ไทม์"

บทวิจารณ์จากบล๊อก ช้าง กระทืบโลง
http://chor-chang-review.blogspot.com/



Water / Time
เวลาของน้ำ เวลาของเรา



ถ้าถามผมว่าเสน่ห์ของละคร Water / Time อยู่ที่ไหน ?

นักแสดง ? แน่นอน มือระดับคุณฮีน ศศิธร พานิชนก ที่ทั้งเรียนมาด้านนี้ ทั้งผ่านงานภาพยนตร์ ละครทีวี และละครเวทีมามากมาย คงไม่ต้องสงสัยในฝีไม้ลายมือของเธอ

ผู้กำกับ ? ก็อีกนั่นแหละ ระดับ “ครูหนิง” พันพัสสา ธูปเทียน ก็รับประกันได้อยู่แล้ว ว่าในฐานะ “ผู้ชมคนแรก” เธอย่อมต้องกลั่นกรอง เลือกสรร (หรือเค้นหา) สิ่งที่ “ใช่” ที่สุดในสายตามาเสนอแก่ผู้ชม


บทละคร ? ได้อ่านจากใบปลิวสูจิบัตร ว่าบทละครเรื่องนี้ โชโกะ ทานิกาวา (ซึ่งร่วมแสดงเอง) เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นขึ้นก่อน แล้วจึงมาแปลกลับเป็นภาษาไทย/ภาษาอังกฤษทีหลัง แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับความกระชับ ตรงไปตรงมา แต่ก็แยบคายอย่างมีชั้นเชิงของตัวบท


ฉาก ? ก็เก๋และแปลกๆ ดี ที่กลับเอาประตูทางเข้าโรงมาให้ทั้งคนดูและนักแสดงใช้ด้วยกัน คือคนดูก็ใช้ผ่านเข้ามานั่งที่ ส่วนนักแสดงก็ใช้เดินเข้าฉาก เข้ามาในห้องพักอพาร์ตเมนต์ที่ “รก” อย่างได้ใจ และสมจริง

แต่ทั้งหมดทั้งมวล ผมคิดว่า เสน่ห์เฉพาะตัวของ Water / Time ไม่ได้ตกไปอยู่ที่ตรงใดตรงหนึ่งที่พรรณนามาแล้วข้างต้น หากแต่อยู่ที่ “ส่วนรวม” หรือ “ผลลัพธ์” ของสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งเมื่อหวนระลึกขึ้นมา กลับเด่นชัดในใจเสียยิ่งกว่าส่วนประกอบต่างๆ นั้นเสียอีก

เสน่ห์นั้นก็คือความงามอย่างเรียบง่าย จริงใจ ชนิดที่ถ้าให้นึกเองก็อาจมีอคติคิดไปว่า เป็นสไตล์ “ญี่ปู๊น ญี่ปุ่น” คือคิดมามาก แต่ใช้สอยเพียงอย่างประหยัดเท่าที่จำเป็น เรียกว่า “ทำน้อยได้มาก”


ความงามในความง่ายนั้นก็คือละครที่พูดถึงเรื่องราวที่คนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ จะพบเจอได้ในชีวิตประจำวันตามปกติ แต่ขณะเดียวกัน ก็ทิ้งประเด็นใหญ่หลวงน่าขบคิดใคร่ครวญไว้ให้ติดหัวคนดูกลับไปบ้านด้วย


ถ้าเล่าอย่างย่อๆ เรื่องของ Water / Time ว่าด้วย คู่ผัวตัวเมียหนุ่มญี่ปุ่นกับสาวไทย เคนจิ (โชโกะ ทานิกาวา) สามีหัวดื้อ มุ่งมั่นจะเป็นคนเขียนบท ส่วน น้ำ (ศศิธร พานิชนก) ภรรยาคนไทย ก็มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงละคร แต่หนทางไปสู่สิ่งที่พวกเขาวาดหวังไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในนิวยอร์ก มหานครที่เปรียบประดุจศูนย์กลางจักรวาลของแวดวงละคร น้ำต้องไปทำงานเป็นสาวเสิร์ฟ หารายได้มาหล่อเลี้ยงความฝันของทั้งเขาและเธอ ในสภาพกดดัน แปลกแยกเช่นนี้ ความสัมพันธ์ที่ต้องสื่อสารข้ามพรมแดนภาษาและวัฒนธรรม (ไทย/อเมริกัน/ญี่ปุ่น) อาจดูเป็นเรื่องน่าขันสำหรับผู้ชม แต่สำหรับทั้งสองคน การที่ “คนรัก” พร้อมจะกลับกลายเป็น “คนเคยรัก” นั้น ย่อมไม่ตลกเลย

ในพล็อตเรื่องที่ดูเหมือน “ไม่มีอะไร” เช่นนี้เอง ที่องค์ประกอบทุกภาคส่วน ทั้งนักแสดง บท ผู้กำกับ ฉาก (ตลอดจนส่วนงานอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ออกนาม) กลับร่วมกันสร้างให้มี “อะไร” ขึ้นมา ตัวละครที่อยู่ต่อหน้าดูเป็น “คน” ที่มีชีวิต “จริง” จนเราสัมผัสได้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงง่ายๆ นั้นเอง ก็ทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์ส่วนตัวเข้ากับสิ่งที่ตัวละครกำลังเผชิญอยู่ได้อย่างจังๆ ดังเช่นประโยคที่ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้โฆษณาตั้งแต่เมื่อละครออกแสดงใหม่ๆ ก็คือ “เวลาทะเลาะกับแฟน เราพูดภาษาอะไรกัน” ประโยคง่ายๆ แค่นี้ก็อาจชักนำให้หวนรำลึกถึงประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่า อีกคนหนึ่งกำลังพูดภาษาอะไรอยู่ (ฟะ!) ทำไม่ไม่เข้าใจเหรอ ? ทำไมไม่พูดภาษาเดียวกัน (กับกรู) ล่ะ ? เหมือนกันกับที่น้ำและเคนจิ ต่างเหน็บแนม ประชดประชัน และ “ทำร้าย” กันและกันด้วยภาษาที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีวันเข้าใจ

ด้วยความที่บทละครเรื่องนี้ใช้ทั้งสามภาษา คือไทย/อังกฤษ/ญี่ปุ่น ไปพร้อมๆ กัน จึงต้องฉายคำบรรยาย (subtitles) อีกสองภาษาไว้ที่ตอนบนของผนังตลอดเวลา แรกๆ ผมก็พยายามอ่านตาม แต่แล้วกลับพบว่า ทำให้เสียสมาธิกับละครไปมาก ก็เลยตัดสินใจเลิกอ่าน ในกรณีของผม - ผู้ชมชาวไทย ซึ่งพอรู้ภาษาฝรั่งนิดๆ หน่อยๆ แต่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น – นั่นก็คือการกระโดดลงไปอยู่ในละคร ก้าวเข้าไปสู่ประสบการณ์เดียวกันกับสาวน้ำแบบตรงๆ และปรากฏว่าวิธีนี้ได้ผลน่าสนใจดีทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น การเลิกอ่านคำบรรยายยังทำให้เรารับรู้พลังหรือ “สาร” ที่นักแสดงส่งออกมา ซึ่งอยู่พ้นไปจากอำนาจของถ้อยคำเสียด้วยซ้ำ

ชื่อเรื่อง Water / Time นั้น ในทางหนึ่ง ก็อาจจะหมายถึงบทละครที่เคนจิเขียน และน้ำเข้าใจว่าคงหมายถึง “เวลา(ของ)น้ำ” แต่พร้อมกันนั้น ละครก็ตั้งใจชักพาผู้ชมให้คิดไปถึงสำนวนที่มีทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่ว่าเวลาและวารีย่อมไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เคยรั้งรอใคร สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ย้อนกลับไม่ได้ (เพราะชีวิตไม่มีปุ่ม undo เหมือนในโปรแกรมคอมพิวเตอร์) ดังนั้น (ถ้าจะให้ฟังดูเป็นทางพระๆ หน่อย ก็คงต้องบอกว่า) จึงพึงใช้ชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ใช้วันเวลา ณ ขณะนี้ให้เต็มเปี่ยม ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลัง ว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านั้น ถ้าเพียงแต่เรารู้เท่าทันว่า เวลากำลังใกล้จะหมดลงแล้ว...

ดูเหมือนว่า Water / Time จะบอกผมอย่างนั้น


Water / Time
Cresent Moon Space (สถาบันปรีดี พนมยงค์)
LIFE Theatre
กำกับการแสดง: พันพัสสา ธูปเทียน
นักแสดง: โชโกะ ทานิกาวา, ศศิธร พานิชนก, อภิรักษ์ ชัยปัญหา
17 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม และ 11 – 13 และ 18 – 20 กันยายน 2552


พิมพ์ครั้งแรกใน Vote ฉบับที่ 114 ปักษ์หลัง มีนาคม 2553
เขียนโดย ช้าง กระทืบโรง

ขอขอบคุณข้อมูลจากบล๊อก : ช.ช้างกระทืบโลง

บทวิจารณ์ "ไฟล้างบาป"

เราค้นไปเจอบทวิจารณ์ละครเวทีเรื่อง "ไฟล้างบาป" จากบล๊อกช.ช้างกระทืบโลง เลยนำมาแบ่งกันอ่านที่ หากใครสนใจอ่านบทวิจารณ์ละครเวทีเรื่องอื่นๆได้ที่นี่



ไฟล้างบาป
อาชญากรรมและการลงทัณฑ์ ?


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มิตรรุ่นพี่ท่านหนึ่งเคยเปรยขึ้นในวงสนทนาว่า “นรก” ในจินตภาพของคนไทยนั้น ดูๆ ไปก็ไม่ผิดกับครัว คือมีทั้งไฟ กระทะ และของมีคมนานาชนิด บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายก็จะต้องมาชำระล้างบาปของตน ด้วยกรรมวิธีเฉกเช่นเดียวกับที่ “ของสด” ถูกหั่น สับ ปิ้ง ย่าง ต้ม แกง จนกลายเป็น “กับข้าว” ที่เป็น “ของสุก”

ไฟล้างบาป ของพระจันทร์เสี้ยวการละคร ที่เพิ่งกลับมาขึ้นเวทีอีกครั้ง ก็ชวนให้ผมนึกถึงถ้อยคำของอาวุโสท่านนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะบางทีบางที่ “นรก” ก็อาจอยู่ถัดจากครัวไปอีกหน่อยหนึ่ง...

แน่นอนว่า สำหรับละครเรื่องนี้ (หรือเรื่องไหนๆ ก็เถอะ!) นักแสดงย่อมเป็นส่วนสำคัญ แต่ละคนของไฟล้างบาป ล้วนจัดอยู่ในระดับ “ยอดฝีมือ” ของวงการละครเวทีร่วมสมัยของเมืองไทย เช่น สินีนาฏ เกษประไพ เจ้าของรางวัลศิลปาธร ปี พ.ศ. 2551 ในฐานะศิลปินร่วมสมัยด้านการละคร หรือ ฟารีดา จิราพันธุ์ ซึ่งถ้าให้เดา ก็มีท่าทีว่าคงจะได้รับเกียรติยศอย่างเดียวกันกับสินีนาฏในอีกไม่นานเกินรอ

แต่ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ก็คือบทละคร ซึ่งริเริ่มโดยนักแสดงทั้งสี่ของเรื่องนี้เอง ในการจัดเวิร์คช็อปของเพต้า (PETA - Philippines Educational Theatre Association) ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ในปี พ.ศ. 2549 และพัฒนาต่อมา จนได้ออกตระเวนทัวร์แสดงตามสถาบันการศึกษาต่างๆ นับสิบแห่งในประเทศ และล่าสุด ก่อนหน้าการแสดงครั้งล่าสุดนี้ พวกเธอๆ ก็เพิ่งกลับมาจากการนำละครไปแสดงในเทศกาล Mekong Arts and Media Festival 2009 ที่โรงละครจตุมุข กรุงพนมเปญ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมานี่เอง



ไฟล้างบาป เริ่มต้นขึ้น ณ สถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง จะด้วยเหตุผลกลใดไม่แน่ชัด ผู้หญิงแปลกหน้าสามคนมาพบกัน มีทั้ง “ป้าทอม” หนุ่มใหญ่ในร่างหญิง (สินีนาฏ เกษประไพ) ลูกจ้างทำงานบ้าน (ศรวณี ยอดนุ่น) และดาราสาวคนดัง (ฟารีดา จิราพันธุ์) ในไม่ช้า พวกเธอก็ตระหนักว่า ตัวเองตายไปแล้ว และสรุปกันว่า สถานที่แห่งนั้นคงต้องเป็น “นรก”

แต่นรกขุมนั้น ไม่มีเปลวไฟ และไม่มียมบาลใส่หมวกเขาควาย ทว่า จู่ๆ ก็มีกองเสื้อผ้าสกปรก กะละมัง 3 ใบ และผงซักฟอกกล่องใหญ่ขนาดเท่ากระเป๋าเดินทาง หล่นลงมา พวกเธอทั้งสามก็สำเหนียกว่า ในเมื่อที่นั่นเป็นนรก พวกเธอก็ย่อมมีหน้าที่ต้องชดใช้ความผิดบาปที่เคยกระทำมาเมื่อครั้งยังมีชีวิต จึงก้มหน้าก้มตาซักผ้า ชำระล้างบาปไป

ชีวิตซ้ำซากเวียนวนในนรกขุมซักผ้านี้ ดำเนินไปควบคู่กับการที่ผู้หญิงแต่ละคน เริ่มผลัดกันเล่าเท้าความถึงชีวิตเมื่อยังอยู่บนโลกมนุษย์ของตน ไม่ว่าจะเป็น “ป้าทอม” กับความรักแบบ “หญิงรักหญิง” ที่ถูกสังคมประณามว่าผิดเพศ ดาราสาวกับพฤติกรรม “ฉาวโฉ่” ในชีวิตส่วนตัว รวมทั้งเด็กสาวบ้านนอก ผู้ถูกกลุ่มชายโฉดรุมข่มเหง สร้างตราบาปให้แก่ชีวิตเธอ

แต่ครั้นแล้ว ทุกคนก็เริ่มตั้งคำถามว่า สิ่งที่เธอ “เป็น” นั้น มันเป็นความผิดบาปอย่างมหันต์ถึงขนาดที่ต้องตกนรกหมกกะละมังอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์เช่นนั้นเชียวหรือ พวกเธอจึงกู่ก้องตะโกนเรียกหา “ท่าน” เพื่อทวงถาม
ในที่สุด “ท่าน” (สุมณฑา สวนผลรัตน์) ก็ปรากฏตัวออกมา เป็นสาวใหญ่ในชุดขาว ด้วยมาดสตรีหมายเลขหนึ่ง ท่ามกลางความงุนงงของทุกคนว่า เหตุใด “ท่าน” (พระเจ้า? ยมบาล? ใคร?) จึงเป็นผู้หญิง ต่างกับภาพที่มักนึกกันโดยทั่วไปว่าผู้มีอำนาจสูงสุดในจักรวาลจะต้องเป็นเพศชาย

ยิ่งไปกว่านั้น “ท่าน” ซึ่งสั่งให้ทุกคนเรียกเธอว่า “โกลดี้” ก็ย้อนถามทั้งสามสาวว่า มีใครบอกให้เธอไปซักผ้าหรือไม่ ? หรือพวกเธอทำไปเองเพียงเพราะความเคยชิน ? ทั้งยังสำทับด้วยว่า กะละมังนั้น ถ้าไม่หงายใส่น้ำซักผ้า ก็สามารถคว่ำลงใช้วางเท้าได้!

เช่นเดียวกับ “โทษบาป” ที่ทั้งสามคนแบกรับไว้นั้น ล้วนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ไม่ใช่ความผิด ไม่ใช่สิ่งที่ต้องชดใช้ด้วยการลงโทษทัณฑ์ ว่าแล้ว โกลดี้ก็ลุกขึ้นเต้น จับมือกับสามสาว พากันเต้นออกไปจาก “นรกแม่บ้าน” นั้น...

ไฟล้างบาป ใช้เวลาแสดงเพียงไม่ถึงชั่วโมง แต่ก็นำเสนอ “สาร” ได้อย่างชัดเจนและตรงประเด็น

ประเด็นที่ว่าด้วย “คำพิพากษา” ที่สังคมมีแก่ผู้หญิง ว่า ผู้หญิง “ที่ดี” หรือ “ปกติ” นั้น ต้องมีคุณสมบัติเช่นไร ควรต้องทำอะไร มีเพศสัมพันธ์แบบไหน กับใครได้บ้าง ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างภาวะจำยอม และเป็นภาระที่ต้องแบกติดตัวไปตลอดชีวิต (หรือเลยไปกว่านั้นด้วย...)

แม้ประเด็นเหล่านี้ อาจดูเหมือน “เกือบ” จะเชย เพราะก็มีการหยิบยกมานำเสนอบนเวทีละครของกลุ่มละครเล็กๆ ต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่ที่มันยังไม่เชย ก็เพราะนอกโรงละคร พ้นไปจากเวทีเล็กๆ นั้น ในโลกจริงข้างนอก การฉกฉวยโอกาสจากร่างกาย และ “ความเป็นหญิง” ก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป เหมือนที่เคยเป็นมา ซ้ำร้าย ยิ่งทวีความรุนแรงและความแยบยลขึ้นเป็นลำดับ

และผมก็เชื่อ – ด้วยความเศร้าใจยิ่ง – ว่า ไฟล้างบาป จะยังสามารถนำกลับมาขึ้นเวที (Restage) ซ้ำแล้วซ้ำอีกได้นานปี โดยยังไม่ล้าสมัยง่ายๆ


ไฟล้างบาป (Restage)
พระจันทร์เสี้ยวการละคร
นักแสดง สินีนาฏ เกษประไพ, ศรวณี ยอดนุ่น, ฟารีดา จิราพันธุ์, สุมณฑา สวนผลรัตน์
Crescent Moon Space สถาบันปรีดี พนมยงค์
3-7 ธันวาคม 2552


ตีพิมพ์ครั้งแรกใน Vote ฉบับที่ 117 ปักษ์หลัง พฤษภาคม 2553
เขียนโดย ช้าง กระทืบโรง


ขอขอบคุณ:
ช.ช้างกระทืบโลง
ภาพถ่ายโดย:
จีรณัท เจียรกุล

Crescent moon space in July : 2010

เดือนกรกฎาคม เดือนนี้ที่ละครโรงเล็ก Crescent Moon space ไม่มีละครมาลงโรง ก็ได้ให้สเปซพักผ่อนกันบ้าง จะมีงานซ้อมละคร ประชุม และงานคาสติ้งที่เข้ามาใช้ เราเพิ่งเจอบทวิจารณ์ละครเวทีหลยเรื่องที่นักวิจารณ์เขียนถึงละครที่ลงในสเปซของเรา ก็จะนำมาปันกันอ่านในเร็วๆนี้

เดือนหน้าเตรียมพบกับสองหนุ่มนักละครใบ้ งิ่ง ธา เบบี้ไมม์ และแขกรีบเชิญพิเศษใน Little Mime Project 2 ตั้งแต่ 12 - 22 สิงหาคมนี้

Friday, 25 June 2010

บทวิจารณ์ “สุดทางที่บางแคร์”

บทวิจารณ์ "สุดทางที่บางแคร์"
จากเว็บวิจารณ์แบบไร้ปราณี

ดูที่นี่:
http://www.barkandbite.net/



ผมเคยนั่งคิดว่าถ้าผมแก่ตัวไปจะเป็นอย่างไร จะเหมือนกับที่ผมเห็นคุณปู่คุณย่าที่กลายเป็นภาพของคนแก่ขี้บ่น อารมณ์ร้อน แบบเดียวกับในความทรงจำของผมหรือเปล่า และถ้าเป็นอย่างนั้น วันเวลาดังกล่าวผมจะคิดอะไรกันแน่

แม้อาจจะทำให้ผมแก่ลงไปจริง ๆ แต่การดูละคร “สุดทางที่บางแคร์” ฝีมือการกำกับของปานรัตน กริชชาญชัย ก็พอจะทำให้ผมได้เห็นมุมมองและเข้าใจคนสูงอายุมากขึ้น ได้มีประสบการณ์ช่วงหนึ่งที่จะเข้าใจภาวะของ “การแก่ตัวลง” และไม่วายที่จะคิดพร้อมรอยยิ้มว่าผมรู้สึกพร้อมจะรับความแก่ขึ้นมาบ้างนิดนึงแล้วล่ะเรื่องราวของ “สุดทางที่บางแคร์” เป็นเรื่องราวในวันที่เหมือนจะทั่ว ๆ ไปของเหล่าหญิงชราสามคนที่บ้านพักคนชรา ซึ่งก็ไม่พ้นการพูดคุย หากิจกรรมทำเรื่อย ๆ ทะเลาะ ง้องอนกับบรรดาเพื่อนร่วมหลังคาเดียวกัน ซึ่งภายในเรื่องราวเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วย “ชีวิต” ที่กำลังโลดแล่นแม้ว่าภายนอกจะอ่อนโรยลงไปด้วยวัยแล้วก็ตาม

ผมเองก็ไม่เคยอ่านบทละครดั้งเดิมอย่าง Heroes ของ Tom Stoppard ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจก่อนจะมาเป็นบทละครเรื่องนี้ แต่ในมุมมองของผมที่รู้สึกไปกับบทละครเวอร์ชั่นภาษาไทยนั้น ผมเห็นความละเมียดละไมของ “มนุษย์” ผ่านบทสนทนาที่มีส่วนผสมของทั้ง เหตุผลที่ปะติปะต่อกัน และการไร้เหตุผลปนไม่เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นเสน่ห์สำคัญของบทละครที่กลายเป็นเหมือนความท้าทายของนักแสดงและผู้กำกับที่จะถ่ายทอดแก่นของเรื่องออกมา

เราคงจะงง ๆ อยู่บ้างกับบทสนทนาที่ดูไม่ค่อยต่อเนื่องและเรียงร้อยเรื่องราวแบบที่เรา ๆ พูดกัน (จนเผลอ ๆ บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นละคร Absurd ไปแล้ว) แต่ในความจริง หากจับหลักเรื่องราวและตัวตนของตัวละครแต่ละตัว ตั้งแต่ พวงเพ็ญ หญิงแก่ไฮเปอร์ผู้เต็มไปด้วยเรื่องราวตื่นเต้น สุวรรณีหญิงชราผู้ชอบนั่งมองและวิจารณ์เรื่องราวต่าง ๆ และยาใจ ผู้ที่เต็มไปด้วยความกังวลและหวาดกลัว เราจะเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหวาดกลัวของแต่ละคนหลังจากใช้ชีวิตมาเนิ่นนานและการพยายามหลีกหนีความจริงของชีวิตรวมทั้งสังขารที่นับวันก็จะยิ่งเสื่อมไป คำพูดและบทสนทนาที่อาจจะรู้สึกว่าเยอะแท้จริงแล้วคือกระจกเงาที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ออกมานั่นเอง

ความรู้สึกหนึ่งที่น่าคิดไม่น้อยจากการนั่งดูชีวิตของทั้งสามคน คือการหาคำตอบว่าในภาวะของคนแก่นั้นจะรู้สึกอย่างไร ในช่วงเวลาที่ชีวิตเต็มไปด้วยความทรงจำทั้งสุขและทุกข์และร่างกายที่ไม่ได้เป็นไปแบบอดีตอันรุ่งโรจน์ ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีความหวังที่จะจุดไฟชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เช่นการรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเวลาเห็นชายหนุ่ม การผจญภัยไปที่ไกล ๆ ฯลฯ เพื่อจะได้กลบความจริงของสังขาร รวมไปถึงกระบวนการที่จะ”จัดการ” กับความทุกข์ที่ได้จากความจริงของตัวเอง

หนึ่งในสิ่งที่เราเห็นอยู่บ่อย ๆ (หรือไม่ก็รู้สึก) คือการพยายาม “หลีกหนี” “ปกปิด” “เลี่ยงการเผชิญหน้า” กับสิ่งที่ความชรานำมาให้กับตัวละคร เช่นความโดดเดี่ยว อ้างว้าง หรือแม้แต่การเผชิญหน้ากับความตายที่อยู่รอบตัว ทั้งจากเพื่อนร่วมวัยและกับตัวเอง ซึ่งนี่น่าจะเป็นสิ่งที่ตรึงเข้าไปในหัวใจของผู้ชมมากที่สุดอย่างหนึ่งจากการแสดงละครเรื่องนี้

และก็คงเป็นความลงตัวที่สมบูรณ์จากบทที่ละเอียดละอ่อนที่ถูกส่งมอบต่อให้กับนักแสดงที่มากฝีมือ ซึ่งรับส่งบทและการแสดงกันได้อย่างคมกริบและกลายเป็นจุดสำคัญมากที่ทำให้เรื่องเดินได้อย่างไม่สะดุด แม้ในบรรยากาศที่ดูอ้างว้างและ “สูงอายุ” จากตัวละคร แต่ละครกลับกระฉับกระเฉงและกระชับโดยไม่ได้เอื่อยเฉื่อยยานคางจะอยากจะหลับตาลงแต่อย่างใดเลย ซึ่งผู้เขียนเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้านักแสดงเป็นมือสมัครเล่นที่ยังขาดประสบการณ์แล้วล่ะก็ละครจะเละไม่เป็นท่าแค่ไหน ในขณะเดียวกัน ถ้าบทสนาที่ค่อนข้างเยอะไม่ได้รับการนำเสนอไปกับการแสดงที่คมคายแล้วล่ะก็ คนดูก็คงจะเบื่อหน่ายกับคำพูดวก ๆ วน ๆ เป็นแน่แท้

ความรู้สึกดี ๆ อีกอย่างที่ได้จากการชมละครคือการสัมผัสบรรยากาศโดยรวมที่ค่อนข้างลงตัวมากของฉาก แสง และเสียง (ที่มีทั้งเพลงบรรเลงและเพลงเก่าสมัยพ่อแม่เรายังวัยรุ่น) ที่แม้จะไม่ได้อัศจรรย์เทคนิคแพรวพราวหรือฉูดฉาด แต่ความเรียบง่ายแต่ชัดเจนนั้นแหละที่ช่วยกันหล่อหลอมโรงละคร Crescent Moon Space ให้ผู้ชมสามารถรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้ว่านี่คือระเบียงของบ้านพักคนชราที่ร่มรื่นเสียเหลือเกิน




ส่วนที่ผมอาจจะติงละครเรื่องนี้อยู่ (ถ้าคิดว่ามันจะเป็นปัญหาอยู่) ก็อาจจะเป็นว่าละครเรื่องนี้คงจะเหมาะกับคนที่มีจริตในการเสพศิลปะระดับหนึ่ง เพราะบทสนทนาในละครอาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่พยายามเปิดรับมุมมองอื่น ๆ นอกจากที่เห็นชีวิตประจำวันเท่านั้น หรือกับอีกพวกคือคนที่ปรารถนากับเสพเนื้อความแบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยของสมอง

สำหรับผมแล้ว สุดทางที่บางแคร์ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนการดื่มกาแฟอุ่น ๆ รสเยี่ยมที่ริมทางเดินของบ้านบนภูเขาที่มองไปเห็นทะเลชีวิตที่ไกลสุดลูกหูลูกตา พร้อมกับสายลมเบา ๆ โชยผ่านให้รู้สึกทั้งอิ่มเอิบกับชีวิต แต่ก็ไม่วายที่จะหวาดกลัวขึ้นมาบ้างเมื่อต้องคิดว่าผมไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปหรอก


ขอขอบคุณเว็บไซด์วิจารณ์ Bark and Bite




Monday, 14 June 2010

พรีวิว "สุดทางที่บางแคร์"

ชม "สุดทางที่บางแคร์" รอบพรีวิว (ฟรี )
รอบวันพุธที่ 16 มิถุนายน 2553 รอบเดียว 20 ที่เท่านั้น ...



ขอเชิญชม "สุดทางที่บางแคร์" รอบพรีวิว (ฟรี ) รอบวันพุธที่
16 มิถุนายน 2553 รอบเดียว 20 ที่เท่านั้น ...

“สุดทางที่บางแคร์” บทและกำกับโดย ปานรัตน กริชชาญชัย นำแสดงโดย ปริยา วงษ์ระเบียบ เยาวลักษณ์ เมฆกุลวิโรจน์ ฟาริดา จิราพันธุ์


16-27 มิถุนายน 2553 (ยกเว้น วันจันทร์ และ อังคาร)
ณ โรงละครพระจันทร์เสี้ยว
เวลา 20.00 น.
จองบัตรที่ 0867877155

แล้วคุณจะรู้ว่า....อะไรที่คุณควรแคร์

Saturday, 5 June 2010

มีอะไรในบางแคร์

เกี่ยวกับสุดทางที่บางแคร์

ผู้กำกับและดัดแปลงบท ปานรัตน กริชชาญชัย ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่อง Heroes ของ Tom Stoppard ซึ่งแปลมาจาก Le Vent des peupliers ของ Gérald Sibleyras บทดั้งเดิมได้รับรางวัล Laurence Olivier สาขา Best New Comedy ในปี 2006 เป็นเรื่องราวของชายวัยชราสามคน ซึ่งเคยเป็นทหารช่วงสงครามโลกมาก่อน ต่างก็ได้รับความบอบช้ำจากสงครามมา...และในช่วงบั้นปลายของชีวิต เขาทั้งสามต้องมาอยู่รวมกันในบ้านพักทหารผ่านศึก
"สุดทางที่บางแคร์" ได้หยิบยกเอาโครงสร้างและเนื้อเรื่องบางช่วงของบทดังกล่าวมาดัดแปลง ให้เข้ากับบริบทไทยๆ ตามจินตนาการของผู้กำกับและผู้เขียนบท โดยดัดแปลงจากชีวิตทหารผ่านศึกมาเป็นหญิงแก่แสนเหงาแต่ยังสวยสามคนในบ้านพักคนชราแห่งหนึ่ง

ตลอดทั้งเรื่องสาวงอมวัยทั้งสามเพียรพยายามที่จะหลุดออกไปจากสภาวะที่เป็นอยู่ให้ได้...สภาวะสุดท้าย! กำลังจะมา แต่ด้วยวัยและทัศนคติต่างๆ ทำให้หนทางที่จะเดินไปสู่จุดมุ่งหมายนั้นยากเย็นแสนเข็ญ

ป้าแก่ๆสามคนที่ไม่เคยเตรียมตัวแก่เตรียมตัวตายมาก่อน จะรอดพ้นจากสภาพอันโหดร้ายของบั้นปลายชีวิตไปได้หรือไม่

มาช่วยลุ้นและช่วยกันเฟ้นหาความงามของจุดสุดท้ายปลายทางของชีวิตไปพร้อมๆกัน ที่... "สุดทางที่บางแคร์"

แล้วคุณจะรู้ว่า....อะไรที่คุณควรแคร์


บางส่วนจาก Director's Note

คนเรายิ่งแก่ยิ่งมี ‘รูปแบบความคิด’ ที่ แข็ง-แรง (ก็อยู่ในโลกมานานคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมั่นใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ)

แล้วยึดสิ่งนั้นไว้แน่นๆไม่ปล่อย ไม่วาง ไม่ปรับ ไม่เปลี่ยน จนบางทีคนรอบข้างก็ไม่ไหวจะเพลีย อยู่ด้วยไม่ได้ หนีหายไปหมด

สุดท้ายปลายทางตอนแก่ก็มักจบลงที่ความเดียวดายทั้งกายและใจ

เพราะนับวันที่เราเติบโตขึ้น เราก็จะสร้างโลกของเราขึ้นมาเอง เอากะลามาใส่หัว และโลกนั้นถูกเสมอ ใหญ่เสมอ

พอมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปก็รับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ไม่เคยเตรียมตัว ไม่เคยฟังใคร แล้วยังจะปิดตาปิดใจให้กับวันเวลาที่มันผันแปรเปลี่ยนไป

ทำเป็นลืมว่าพรุ่งนี้มันไม่มีทางเหมือนวันนี้อีกแล้ว

Friday, 4 June 2010

สุดทางที่บางแคร์

New TheaTRE Society

เสนอ
ไม่ใช่คนบางแค แต่ก็แคร์ใครบางคน...

“สุดทางที่บางแคร์”

ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่อง Heroes ของ Tom Stoppard ซึ่งแปลมาจาก Le Vent des peupliers ของ Gérald Sibleyras
บทดั้งเดิมได้รับรางวัล Laurence Olivier สาขา Best New Comedy ในปี 2006

ป้าแก่ๆสามคนที่ไม่เคยเตรียมตัวแก่เตรียมตัวตายมาก่อน
จะรอดพ้นจากสภาพอันโหดร้ายของบั้นปลายชีวิตไปได้หรือไม่
มาช่วยลุ้นและช่วยกันเฟ้นหาความงามของจุดสุดท้ายปลายทางของชีวิตไปพร้อมๆกัน ที่...สุดทางที่บางแคร์

บทและกำกับโดย ปานรัตน กริชชาญชัย

นำแสดงโดย
ปริยา วงษ์ระเบียบ เยาวลักษณ์ เมฆกุลวิโรจน์ ฟาริดา จิราพันธุ์

16-27 มิถุนายน 2553 (ยกเว้น จันทร์-อังคาร)
ณ โรงละครพระจันทร์เสี้ยว เวลา 20.00 น.
บัตรราคา 350 บาท (60 ปีขึ้นไป ชมฟรี)

ติดต่อสอบถาม 0867877155

แล้วคุณจะรู้ว่า....อะไรที่คุณควรแคร์

Saturday, 22 May 2010

"เด๊ดสมอเร่" จะลงโรงแล้ว

การแสดงเรื่อง 'เด๊ดสะมอเร่'

จะเริ่มเล่นแล้ว หลังจากต้องเลื่อนมาเพราะเหตุการณ์บ้านเมือง

แสดงรอบแรกวันพุธที่ 26 พ.ค.นี้ เปิดให้ชมฟรีแต่มีกล่องโดเนชั่น

มาดูงานที่บอกเล่าคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ หลังจากที่เราได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว


ไม่เศร้าหดหู่ แต่ดูแล้วเพิ่มพลังขับเคลื่อนในตัวเอง และเดินต่อไปอย่างเต็มเปี่ยม

Wednesday, 19 May 2010

ประกาศเลื่อน "เด๊ดสะมอร่"

เลื่อน

เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ อะละครโดยนพพันธ์ "เด๊ดสะมอเร่" จึงประกาศเลื่อนทำการแสดง

หากเรารู้วันแสดงที่แน่นอน

เราจะรีบส่งข่าวบอกทันที




The new play by Nophand “DEADSAMORE” @ Crescent Moon Space that will start on this 21st May will postpone.

If we know the exactly date that will perform, we will update again.

Thursday, 6 May 2010

วันนี้อยู่ พรุ่งนี้ไป


1. ไก่กับไข่อะไรมันมาก่อนกัน?

ก.ไก่

ข.ไข่



2. ถ้ามีกองอิฐหนักหกร้อยกิโล กับขนนกหนักหกร้อยกิโล ตกลงมาจากตึกสูงหกร้อยกิโล อะไรจะถึงพื้นก่อนกัน

กองอิฐ

หรือ

ขนนก



แล้วสมมุติว่าหนึ่งในสิ่งอย่างนั้นตกลงมากระแทกหัวผู้ชายคนหนึ่งที่กำลัง

ก้มลงไปเก็บแบงค์ห้าร้อยที่บังเอิญตกหล่นอยู่บนพื้น



3.ตายแล้วไปไหน...

.............

......

...


เด๊ดสมอเร่

Tuesday, 4 May 2010

Crescentmoon space in new color

ละครโรงเล็ก Crescentmoon space ขึ้นปี 4

หรือโรงละครพระจันทร์เสี้ยวของเราก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 แล้วค่า เพื่อฉลองการเข้าสู่อีกปีหนึ่ง และเพื่อความรู้สึกดีๆสำหรับคนทำงานและผู้ชมของเราเราได้ปรับปรุงพื้นใหม่ เปลี่ยนสีโรงละคร เช็คระบบ ทาสีที่นั่ง ตามมาดูรูปในวันทำงานลงแรงของชาวพระจันทร์เสี้ยวได้เลย
















ขอขอบคุณชาวพระจันทร์และเพื่อนๆน้องๆที่เข้ามาช่วยกัน(ทั้งที่อยู่ในรูป และไม่ได้อยู่ในรูป)....ขอบคุณ...จากใจ



Tuesday, 27 April 2010

ละครเวทีโรงเล็ก

เพิ่งไปพบข้อมูลเกี่ยวกับละครโรงเล็กในบล็อก artgazine เลยนำมาเผยแพร่ต่อ หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นบันทึกเกี่ยวกับโรงละครเล็กๆอย่างเรา

โรงละครห้องแถว Little Space ศิลปะในพื้นที่เล็ก ๆ
คอลัมน์ STORY
โดย อัจฉราวดี อวนอ่อน



ขณะที่ Creative Economy ถูกบรรจุเอาไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11

ขณะที่รัฐบาลทุ่มงบฯไม่น้อยกว่าสองหมื่นล้านบาทให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ภายใต้ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง

ขณะที่คนรับลูกดำเนินนโยบายยังไม่เห็นจะเข้าใจความหมายของเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์...เฮ้อ เหมือนเราเป็นผู้ชมที่กำลังนั่งชมละครเรื่องเก่าซ้ำซาก ที่มองเห็นตอนจบ ตั้งแต่ม่านละครเปิด แม้จะมีความหวังเรืองรองสำหรับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย อันได้แก่งานฝีมือและหัตถกรรม (Crafts) งานออกแบบ (Design) แฟชั่น (Fashion) ภาพยนตร์และวิดีโอ (Film & Video) การกระจายเสียง (Broadcasting) ศิลปะการแสดง (Performing Arts) ธุรกิจโฆษณา (Advertising) ธุรกิจการพิมพ์ (Publishing) และสถาปัตยกรรม (Architecture)

โดยข้อมูลของสำนักบัญชีประชาชาติปี 2549 ระบุว่า มูลค่าของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของทั้ง 9 กลุ่มข้างต้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 10.4 ของ GDP โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 848,000 ล้านบาท และมีมูลค่าการส่งออกในปี 2549 ประมาณ 289,000 ล้านบาท

ที่น่าสนใจคือในบรรดาอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ นั้น ในหมวดของศิลปะการแสดง กลับมีมูลค่าการส่งออกเพียง 0.1% เท่านั้น

เมื่อคิดถึงเรื่องของศิลปวัฒนธรรมไทยแล้ว คนส่วนมากจะคิดถึงเรื่องของศิลปะการแสดง อาทิ การรำไทย การแสดง โขน ฯลฯ แต่เมื่อตีมูลค่าทางการเงินแล้ว สิ่งนี้กลับทำรายได้น้อยที่สุด ทั้งที่ครั้งหนึ่ง ครูเล็ก-ภัทราวดี มีชูธน ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า

"ศิลปินเป็นสินค้าส่งออกที่ดีที่สุดของประเทศ"

ไม่ใช่เพราะศิลปะการแสดงของไทยไม่เก่ง หรือไม่ครีเอทีฟ แต่คนสร้างสรรค์งานเหล่านี้ไม่มีพื้นที่ในการนำเสนอผลงานของพวกเขา...

"ขาดสเปซ" คือปัญหาอันดับแรกของคนสร้างสรรค์ศิลปะการแสดงที่เราได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน

ถึงกระนั้นก็ตาม สเปซที่เป็นสิ่งขาดแคลน ก็สามารถเติมเต็มได้ด้วยการ "สร้าง" ขึ้นมาเสียเอง โรงละครขนาดเล็กที่ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่เลิศอลังการ จุคนดูได้น้อยสุด 30 ที่นั่ง เก็บค่าตั๋วพอรับได้ คือราว 300-400 บาท จึงจะเป็นทางเลือกให้แก่ผู้จัดและผู้ชม !

บัดนี้โรงละครห้องแถวได้กระจายไปตั้งอยู่ในหลายพื้นที่ของเมืองกรุง ตามพื้นที่เล็ก ๆ ที่สามารถให้ความบันเทิงเริงใจกับคอละครเวทีได้

เช่นเดียวกับในย่านพระราม 4 ตรงสถานีรถไฟฟ้าลุมพินี ฝั่งซอยงามดูพลีนั้นมีห้องแถวขนาดพอเหมาะ ถูกดัดแปลงพื้นที่ใช้สอยให้เป็นโรงละครกลาย ๆ สามารถจุผู้ชมได้มากสุดถึง 60 คน เป็นที่รู้จักในชื่อ "Democrazy Theatre" ซึ่ง "ภาวิณี

สมรรคบุตร" หนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งและเป็นสมาชิกของคณะละคร 8x8 กล่าวถึงที่มาของโรงละครแห่งนี้

...โรงละครนี้เกิดจากสิ่งที่ขาด คือพื้นที่ในการแสดง ทั้งพื้นที่ซ้อมและพื้นที่แสดง และด้วยความบังเอิญ หลังจาก 8x8 Corner ที่สามย่าน จุฬาฯ ได้ปิดทำการ แต่ใจที่รักในการแสดงของทุกคนยังมีอยู่ จึงมีการรวมทุนกับกลุ่มเพื่อนที่ทำงานด้านละคร เช่าตึกแถว เพื่อดัดแปลงให้เป็นโรงละครขนาดเล็ก โดยรายได้หลักจากการให้เช่า เพื่อเป็นสถานที่ซ้อมและสถานที่จัดการแสดง

ห้องแถวแห่งความบันเทิงนั้นไม่ได้มีแค่ "Democrazy Theatre" ว่ากันว่าในแวดวงคนทำละครเวทียังมีการเกิดขึ้นของโรงละครขนาดเล็กจำนวนไม่น้อย ซึ่งผู้ให้ก่อตั้งส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นคนทำละครเวทีที่ไม่อยากให้ลมหายใจนี้หมดไปจากเมืองไทย ส่วนคนดูก็เป็นเหล่านักเรียน นักศึกษา ตลอดจนคนทำงาน

แรกทีเดียวเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่ดูละครมาตลอด จากนั้นก็ขยายวงไปสู่เพื่อน ๆ ของสาวกละครเวที และที่ชอบดูละครเวที ผ่านการสื่อสารทาง social network ต่าง ๆ อย่างเฟซบุ๊ก ไฮไฟฟ์ เป็นต้น

สิ่งสำคัญก็คือในท่ามกลางวัฒนธรรมการพบปะของผู้คน หลายคนที่ตัดสินใจซื้อตั๋วไปนั่งชมละครเวทีโรงเล็ก ๆ หลายคนมองว่าน่าจะเป็นทางเลือกของสังคมที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการเข้าไปสัมผัส

อ้น สาวออฟฟิศที่ทำงานแถวสามย่าน เป็นหนึ่งในคอละครเวทีโรงเล็ก ๆ ที่ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องซื้อตั๋วไปนั่งดูละครที่ Democrazy Theatre เธอว่า

"ความรู้สึกในการดูละครเวทีโรงเล็ก มันแตกต่างจากการดูละครในโรงละครที่รองรับผู้คนเกือบพันคน การดูละครเวทีกับคนจำนวน 30 คนนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ทำให้รู้สึกได้ถึงอารมณ์ร่วมที่นักแสดงพยายามส่งให้ถึงผู้ชมนั้นง่ายกว่าการนั่งในแถว B ของละครโรงใหญ่ ความสนุกที่เกิดขึ้นอีกอย่างก็คือการที่นักแสดงสามารถครีเอตการแสดงให้ผู้ชมมีส่วนร่วมได้ง่าย ๆ"

ประดิษฐ ปราสาททอง แห่งกลุ่มละครมะขามป้อม กล่าวถึงโรงละครขนาดเล็กที่จุดคนตั้งแต่ 30 คนขึ้นไปว่า ทุกวันนี้โรงละครขนาดเล็กได้เกิดขึ้นหลายพื้นที่ เพื่อคณะละครสามารถจัดการโดยไม่ต้องใช้การบริหารจัดการสูง มะขามป้อมสตูดิโอก็มีโรงละครขนาดเล็กในตึกแถวที่สามารถจุผู้ชมได้ 30-40 คน เนื่องจากมองเห็นว่าคนกรุงเทพฯต้องการมีวัฒนธรรมการพบปะในรูปแบบอื่น ๆ นอกจากเดินห้าง ดูหนัง การดูละครเป็นทางเลือกอีกอย่างสำหรับสังคม เป็นโลกที่สร้างวัฒนธรรมโดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก

เช่นเดียวกับที่สถาบันปรีดีพนมยงค์ ทองหล่อ อันเป็นที่พำนักของคณะละคร 2 คณะ ได้แก่พระจันทร์เสี้ยวการละครและ

บีฟลอร์ กลุ่มละครเล็ก ๆ ที่นอกจากใช้ห้องขนาดประมาณ 6x7 เมตร เป็นที่ทำงานแล้ว ยังดัดแปลงพื้นที่นั้นให้เป็นพื้นที่จัดแสดงได้อย่างสมบูรณ์ สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 30-40 คนเลยทีเดียว

วรัญญู อินทรกำแหง คอลัมนิสต์และนักแสดงกลุ่มบีฟลอร์ ให้ความเห็นว่า การแสดงนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พื้นที่ขนาดเล็กตลอด ขึ้นอยู่กับรูปแบบของโปรดักชั่น แต่ที่เห็นได้ชัด คือข้อดีของโรงละครขนาดเล็กนั้นทำให้เกิดการสร้างงานใหม่ ๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"ส่วนใหญ่ ก่อนที่จะมีโรงละครเล็ก มักจัดโรงละครตามจำนวนคนดูเยอะ ๆ ใช้สตาฟเยอะ ค่าดูละครก็สูง บางทีคนดูต่อรอบไม่มาก ทำไปก็ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ดังนั้นพอมีสเปซเล็ก ๆ ก็ลดค่าใช้จ่ายต่อรอบ พอคัฟเวอร์ค่าใช้จ่ายแต่ละรอบ สมมติโรงละคร 200 ที่นั่ง ต้องเสียค่าเช่าวันละ 5 หมื่นบาท แต่คนดูไม่คัฟเวอร์ แต่นี่จำนวนคนดู 30-40 ที่นั่ง 10 รอบ ก็ได้ 5 หมื่นบาท ก็ประหยัดกว่า นอกจากนั้น พอโรงละครมีพื้นที่จำกัด ก็จะได้รูปแบบการแสดงแตกต่างจากโรงละคร หรือออดิทอเรี่ยม มีความใกล้ชิดระหว่างนักแสดงกับคนดู การแสดง และเกิดการสร้างงานต่อเนื่อง โดยไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย มีความต่อเนื่องสำหรับคนทำ พัฒนาคุณภาพการแสดงไปด้วย คนดูได้ดูต่อเนื่อง"

และเมื่อมีพื้นที่จัดแสดงมากขึ้น เป็นโอกาสให้คนทำหน้าใหม่ หรือกลุ่มละครใหม่ ๆ อยากลองสร้างงาน โดยใช้ทุนน้อยกว่าการจัดแสดงในหอประชุมใหญ่ ๆ ทำให้เกิดความหลากหลายในการสร้างงานขึ้นด้วย

หากมองอย่างมีความหวังกับระบบเศรษฐกิจเชิงความคิดสร้างสรรค์นี้ว่าจะเป็นไปอย่างสวยงาม ก็ต้องลุ้นว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราจะแลเห็นและผลักดันงานศิลปะการแสดงต่อไปมากน้อยแค่ไหน เหนือสิ่งอื่นใด คือตัวผู้ชมอย่างเรา ๆ ที่พร้อมจะเดินออกจากบ้านไปดูการแสดงเหล่านี้หรือไม่ บางทีการดูละครโรงเล็ก อาจจะทำให้เราได้พบเพื่อนใหม่ และโลกใบใหม่ขึ้นมาอีกไม่น้อย

(หน้าพิเศษ D-Life)
คอลัมน์ STORY
โดย อัจฉราวดี อวนอ่อน
วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4180
โรงละครห้องแถว Little Space ศิลปะในพื้นที่เล็ก ๆ

นำมาจาก ARTgazine Articles -> Art News
http://www.artgazine.com/shoutouts/viewtopic.php?p=10870&highlight=space#10870

Monday, 26 April 2010

dead-sa-mo-re


อะ ละครโดยนพพันธ์

And the collective experience


เด๊ดสมอเร่

...วันนี้อยู่...พรุ่งนี้ไป...

แสดงวันที่ 21 พ.ค - 25 พ.ค และ 28 พ.ค - 1 มิ.ย 2553
เวลา 19.30 น.

@ Crescentmoon space
สถาบันปรีดี พนมยงค์ สุขุมวิท 55 ซอย ทองหล่อ

ราคาบัตร 300 บาท

จองได้ที่ โทร. 086 814 1676


...ก่อนที่มันจะสายเกินไป

Sunday, 18 April 2010

Nopand coming soon

พฤษภาคมนี้ 2010
@ Crescentmoon space
ละครเรื่องแรกในปี 4 ของโรงละครพระจันทร์เสี้ยว





“ชีวิตรออยู่”


SAME SAME but DIFFERRENT





อะ ละครโดยนพพันธ์ แอนด์ เฟร็นส์

แสดงที่ Crescentmoon space

สถาบันปรีดี พนมยงค์

ทองหล่อ

Saturday, 17 April 2010

Yoga for Actor

อบรมโยคะสำหรับนักแสดง



สอนโดย คุณนีลชา เฟื่องฟูเกียรติ ผู้เข้าร่วมอบรมจำนวน 15 คน

อบรม 4 วัน คือ 19,21 และ 26,28 เมษายนนี้ เวลา 18.30-20.30 น.

ควรจัดเตรียม
1.ควรสวมเสื้อผ้าสุภาพ-สบายเหมาะกับการเคลื่อนไหว
2.เสื่อโยคะ หรือผ้ารองนอน
3.น้ำดื่ม

ผู้ที่ลงชื่อไว้ เราเจอกันวันจันทร์นี้เป็รวันแรก ที่ Crescent Moon space

Monday, 12 April 2010

Crescent Moon summer class


Crescent Moon space update

เดือนนี้เดือนเมษายน Crescent Moon space ไม่มีละครเปิดแสดงให้ชม เดือนนี้เป็นช่วงกลับเข้าห้องเรียนประจำปีของชาวพระจันทร์เสี้ยวการละคร "Crescent Moon summer class" เรามีการจัดฉายหนังพูดคุย และการอบรม รายการแรกจัดฉายหนังและร่วมแลกเปลี่ยนพูดคุยจากหนังเรื่อง "เฉือน" ของผู้กำกับ ก้องเกีรติ โขมศิริ เมื่อวันที่ 7 เมษายน


โปรแกรมหน้า เราจะจัดฉายหนังเรื่อง "Mother" ของพูดอฟสกิน ในวันที่ 18 เมษายน เวลา 16.00 น.


ส่วนปลายเดือนเรามีอบรมโยคะ "Yoga for Actor" ซึ่งทำการสอนโดย คุณเบิร์ด นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ คอร์สนี้เป็นคอร์สสำหรับนักแสดง ตอนนี้เต็มแล้ว

และพิเศษสุดเราได้ทำการทำความสะอาดและปรับปรุงละครโรงเล็กประจำปีแล้ว พร้อมรับละครและกิจกรรมในการเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว








Lighting Design Workshop #3

อบรมออกแบบแสง ครั้งที่ 3

พระจันทร์เสี้ยวการละครเปิดอบรมออกแบบแสง ครั้งที่ 3 (เราเปิดปีละครั้ง) อบรมแบบ 4 วันเต็ม เราเน้นการออกแบบแสงละครเวที จะเริ่มกันตั้งแต่ให้ความรู้พื้นฐานด้านแสง การคำนวณ ไฟฟ้า เรื่องสีของแสง อุปกรณ์ต่างๆ การตีความบทละคร จนถึงจับอุปกรร์จริงและลองทำจริง เราทำการอบรมไปแล้วในช่วงวันที่ 3-6 เมษายน 2553 เวลา 10.00 -17.00 น.

ครั้งนี้มีผู้มาเข้าร่วมอบรมกับเราทั้งหมด 14 คน (ส่วนใหญ่เป็นน้องๆมาจากวิทยาดุริงยางคศิลป์ ม.มหิดล ศาลายา และมีจากที่อื่นๆด้วย) มาดูภาพบรรยากาศการอบรม และการลองจัดแสงจริงกับเหล่านักแสดงจำเป็นจากพระจันทร์เสี้ยวการละครและน้องๆนักศึกษาฝึกงาน